เอชไอวี
ไวรัสภูมิคุ้มกันบกพร่อง ไวรัสภูมิคุ้มกันเสื่อมในคน | |
---|---|
ภาพสแกนของเซลล์ภายในร่างกายที่เผยให้เห็นการแตกตัวของไวรัส เอชไอวี | |
การจำแนกชนิดไวรัส | |
Group: | Group VI (ssRNA-RT) |
วงศ์: | เรโทรไวรัส (Retroviridae) |
สกุล: | Lentivirus |
สปีชีส์ | |
|
เอชไอวี (อังกฤษ: Human immunodeficiency virus, HIV) ไวรัสตระกูล เรโทรไวรัส เป็นสาเหตุของโรคภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง ในกรณีของมนุษย์ จะทำให้ระบบภูมิต้านทานล้มเหลว และทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน ชื่อเดิมของไวรัสนี้ ได้แก่ human T-lymphotropic virus-III (HTLV-III) , lymphadenopathy-associated virus (LAV) , และ AIDS-associated retrovirus (ARV).
เชื้อเอชไอวีสามารถติดต่อได้ทาง เลือด อสุจิ สารคัดหลั่งในช่องคลอด หรือน้ำนม ซึ่งภายในของเหลวที่ร่างกายสร้างขึ้นนี้ เชื้อเอชไอวีสามารถอยู่ได้ทั้งในสภาพอิสระในตัว และอยู่ในเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ติดเชื้อ สาเหตุใหญ่ของการแพร่กระจายเชื้อ คือ การมีเพศสัมพันธ์โดยที่ไม่ได้ป้องกัน เข็มฉีดยาที่ปนเปื้อน การติดเชื้อจากแม่สู่ลูกผ่านทางการให้น้ำนม เลือดที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัสเอชไอวีจากการบริจาคให้ธนาคารเลือด
ในขณะนี้การติดเชื้อเอชไอวี ในมนุษย์จัดได้ว่าเป็นโรคระบาดร้ายแรง ซึ่งเมื่อเดือนมกราคม ค.ศ. 2006 องค์กรความร่วมมือเกี่ยวกับ HIV/AIDS (UNAIDS) และองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ประมาณการไว้ว่ามีผู้เสียชีวิตจากเอดส์มากกว่า 25 ล้านคนจากการตรวจพบในวันที่ 1 ธันวาคม ค.ศ. 1981 ทำให้เชื้อ HIV เป็นหนึ่งในการแพร่ระบาดที่เป็นสาเหตุการตายของมนุษย์ ที่ร้ายแรงที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์อีกเหตุการณ์หนึ่ง
นับจากภายหลังกาฬมรณะที่คร่าชีวิตประชากรยุโรปในสมัยกลางไปถึง 1 ใน 3 เชื้อ HIV ยังเป็นสาเหตุของการตายของมนุษย์ที่มีความเสียหายมากที่สุดในปี ค.ศ. 2005 มีการคาดการณ์ว่า มีผู้ติดเชื้อประมาณ 2.4 และ 3.3 ล้านคนที่ยังมีชีวิตอยู่ และจำนวนมากกว่า 570,000 คนเป็นเด็ก
ไวรัสเอชไอวี
[แก้]ไวรัสโรคเอดส์หรือเชื้อไวรัสเอชไอวีเป็นไวรัสในกลุ่ม เรโทรไวรัส มีสายพันธุกรรมหรือยีนเป็น อาร์เอ็นเอ แทนที่จะเป็น ดีเอ็นเอ เหมือนกับเซลล์ของสิ่งมีชีวิตชั้นสูงทั่วไป ซึ่งไวรัสในกลุ่มนี้มีหลายตัวด้วยกัน และมีการค้นพบมานานแล้ว โดยพบในสัตว์ หลายชนิด เช่น ม้า หนู เป็ด ไก่ เป็นต้น แต่ไวรัสโรคเอดส์เป็นไวรัสที่พบใหม่ เชื่อกันว่าเป็นไวรัสที่มีวิวัฒนาการ และพัฒนา ตัวเองมาจากไวรัสที่แต่เดิมทำให้เกิดโรคเฉพาะในสัตว์เท่านั้น ไม่สามารถทำให้เกิดโรคในคนได้ แต่ต่อมาเมื่อเชื้อมีวิวัฒนาการ จากการได้รับ อาร์เอ็นเอ ในไวรัสจำพวกแตกตัวอีกหลายชนิด จนมีระบบการทำงานในสัตว์ที่มีระบบน้ำเหลืองและระบบการแต่งตัวของเซลล์ จนสามารถทำให้เกิดโรคในสัตว์ที่ใกล้เคียงกับคน เช่น ลิง โดยเฉพาะลิงเขียวในทวีปแอฟริกา (African Green Monkey) หรือลิงชิมแปนซี (Chimpanzee) เป็นต้น หลังจากนั้นไวรัสเหล่านั้นอาจติดเข้ามาในคน โดยในระยะแรกเป็นไวรัสที่ ทำให้เกิดเป็นโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองในคนเท่านั้น ต่อมาจึงเกิดเป็นโรคเอดส์ที่เป็นเฉพาะในคนเท่านั้น
การแบ่งประเภทของเอชไอวี
[แก้]ส่วนประกอบและการแบ่งตัวของไวรัส
[แก้]โครงสร้างของไวรัส HIV
[แก้]ด้านนอกสุดเป็นเปลือกหุ้มเรียกว่า envelope มีโครงสร้างแบบ lipid bilayer ซึ่งเป็นเยื่อหุ้มเซลล์ของ host และมี envelope ไกลโคโปรตีนกระจายอยู่ลักษณะเป็นปุ่มยื่นออกมาโดยรอบเรียกว่า surface protein (gp 120) ส่วน core ประกอบด้วย capsid protein (gp 24) และมี อาร์เอ็นเอโดย อาร์เอ็นเอจะเป็น 2 copies ที่เหมือนกันอยู่ในไวรัสตัวเดียวกัน นอกจากนี้ภายใน capsid ยังประกอบด้วยเอนไซม์ต่าง ๆ ที่สำคัญได้แก่ Reverse transcriptase (ทำหน้าที่เปลี่ยน อาร์เอ็นเอของไวรัสเป็น ดีเอ็นเอ), integrase (ทำหน้าที่รวม ดีเอ็นเอของไวรัส เข้ากับ ดีเอ็นเอของ host) และ protease (ทำหน้าที่ตัดสายโปรตีนเพื่อให้เป็นองค์ประกอบที่สมบูรณ์ของไวรัส)
การเพิ่มจำนวนไวรัส
[แก้]เริ่มแรกส่วนไกลโคโปรตีนที่ผิวของไวรัส จะจับกับโปรตีนบนเม็ดเลือดขาวอย่างจำเพาะ และหลอมรวม envelope เข้ากับเยื่อหุ้มเซลล์เม็ดเลือดขาวของ host ทำให้ capsid หลุดเข้าสู่ ไซโทพลาสซึมของ host หลังจากนั้น อาร์เอ็นเอและเอนไซม์ต่าง ๆ ของ ไวรัสจะหลุดออกมาจาก capsid เมื่อเข้ามาสู่ ไซโทพลาสซึมแล้วเอนไซม์ Reverse transcriptase จะเปลี่ยน อาร์เอ็นเอของไวรัสให้เป็น ดีเอ็นเอโดยใช้ Nucleoside (หรือ nucleotides) ของ host เอง หลังจากนั้น ดีเอ็นเอของไวรัสจะรวมกับ ดีเอ็นเอของ host โดยเอนไซม์ integrase แล้วจะมีการกระตุ้นให้เกิดการ translation ในตำแหน่งที่ ดีเอ็นเอของไวรัสแทรกตัวอยู่ออกมาเป็นโปรตีนสายยาว ๆ ที่ทำหน้าที่ไม่ได้ของไวรัส หลังจากนั้นเอนไซม์ protease จะเข้ามาตัดโปรตีนสายยาวนี้ ทำให้ได้โปรตีนที่พร้อมจะประกอบเป็นตัวไวรัสตัวใหม่ขึ้น
อาการและอาการแสดง
[แก้]กลุ่มอาการติดเชื้อเอชไอวีแบบเฉียบพลัน
[แก้]ระยะแฝง
[แก้]
เอดส์
[แก้]พยาธิสรีรวิทยา
[แก้]การติดต่อ
[แก้]ระบบการติดต่อนั้นมีหลายส่วน โดยระบบของไวรัสนั้นจะแบ่งตัวในเซลล์ที่มีของเหลว และระบบการทำงานส่วนของน้ำและสารเหลวที่ถูกผลิตขึ้นภายในร่างกายได้ทั้งหมด
ทางเพศสัมพันธ์
[แก้]การคัดหลั่งสารและน้ำเชื้อมีโอกาสที่ไวรัสจะอยู่ในระบบมากที่สุด เนื่องจากเป็นส่วนที่มีผลิตสารอยู่เกือบตลอดเวลา
เลือดหรือส่วนประกอบของเลือด
[แก้]น้ำเลือดและของเหลวในเลือดส่วนมากก็มีการแพร่กระจายตัวของเซลล์ออกไปตามส่วนต่างเช่นกัน
จากแม่สู่ลูก
[แก้]โดยการแลกเปลี่ยนสารเหลวภายในร่างกายทารกและร่างกายมารดา แต่มีโอกาสที่จะมีการติดเชื้อจากการคลอดโดยมีการปนเปื้อนของเลือดมารดาไปสู่ทารก โดยในปัจจุบันมีการพัฒนาระบบยาต้านไวรัสเพื่อให้เด็กไม่มีการติดเชื้อ
การติดเชื้อซ้ำซ้อน
[แก้]การติดเชื้อซ้ำซ้อนอันเนื่องมาจากการที่ไวรัสทำการแตกตัวรหัสในสารพันธุกรรม อาร์เอ็นเอ และ ดีเอ็นเอ เข้าไปในเซลล์ที่ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของเม็ดเลือดขาว และ ที-เซลล์ รวมไปถึง แมสต์เซลล์ ทำให้เกิดระบบการซ่อมแซ่มร่างกายเกิดการทำลายตัวเอง ทำให้เกิดการเปลี่ยนระบบการจดจำคุณลักษณะของเซลล์ในร่างกายตนเองไม่ได้ ทำให้เกิดการลดลงของเซลล์เม้ดเลือดขาว และระบบคุ้มกันภายในร่างกายลดลง
โครงสร้างและจีโนม
[แก้]เอชไอวี มีความแตกต่างทางโครงสร้างจาก เรโทรไวรัส ชนิดอื่น ๆ มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 120 นาโนเมตร (1 ใน 120 พันล้านส่วนของ 1 เมตร; เล็กกว่าเม็ดเลือดแดงประมาณ 60 เท่า) และ มีรูปทรงกลม มีจีโนมเป็นอาร์เอ็นเอ
การโน้มตอบสนอง (Tropism)
[แก้]วงจรการเพิ่มจำนวน
[แก้]การเข้าสู่เซลล์
[แก้]การถ่ายแบบ (Replication) และการถอดรหัส (Transcription)
[แก้]ความหลากหลายทางพันธุกรรม
[แก้]การตรวจหาเชื้อเอชไอวีและเอดส์ทำได้ด้วยการเจาะเลือด ซึ่งแบ่งเป็นการตรวจหาปริมาณ CD4 (CD4 Count) เป็นการตรวจเซลล์เม็ดเลือดขาวที่อยู่ในเลือด เพื่อดูความเสียหายที่เกิดจากไวรัสเอชไอวีทำลายเม็ดเลือดขาว ซึ่งเป็นที่อยู่ของระบบภูมิคุ้มกัน การตรวจหาปริมาณไวรัสที่อยู่ในเลือด (Viral Load: VL) และการตรวจหาสารพันธุกรรมของไวรัส (Nucleic Acid Test: NAT)
การรักษา
[แก้]การรักษาที่อยู่ในระหว่างการพัฒนา
[แก้]แหล่งกักเชื้อระยะแฝง
[แก้]พยากรณ์โรค
[แก้]ระบาดวิทยา
[แก้]ประวัติศาสตร์
[แก้]การค้นพบ
[แก้]แนวคิดปฏิเสธเอดส์
[แก้]ดูเพิ่ม
[แก้]อ้างอิง
[แก้]- นิตยสาร หมอชาวบ้าน ฉบับที่ 12 ปีที่ 2
- เอกสารประกอบคำบรรยาย เรื่อง เอดส์และการป้องกัน ของ กรมอนามัย