ข้ามไปเนื้อหา

อาณาจักรมเยาะอู้

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
อาณาจักรมเยาะอู้

ค.ศ. 1430–ค.ศ. 1785
แผนที่ยุคแรกของเนเธอร์แลนด์เกี่ยวกับอาณาจักรยะไข่ (ปัจจุบันคือรัฐยะไข่และส่วนใต้ของภาคจิตตะกอง บังกลาเทศ)
แผนที่ยุคแรกของเนเธอร์แลนด์เกี่ยวกับอาณาจักรยะไข่ (ปัจจุบันคือรัฐยะไข่และส่วนใต้ของภาคจิตตะกอง บังกลาเทศ)
สถานะรัฐบรรณาการสุลต่านเบงกอล (ค.ศ. 1429–1437[1])
รัฐบรรณาการราชวงศ์โก้นบอง ค.ศ. 1784
เมืองหลวง
ภาษาทั่วไปภาษายะไข่
ศาสนา
การปกครองราชาธิปไตย
• ค.ศ. 1429–1433
พระเจ้านรเมขลา
• ค.ศ. 1433–1459
มี่นคะยี
• ค.ศ. 1531–1554
พระเจ้ามี่นบีน
• ค.ศ. 1593–1612
มี่นยาซาจี้
• ค.ศ. 1622–1638
พระเจ้าสิริสุธรรมมา
• ค.ศ. 1652–1674
พระเจ้าจันทสุธรรมมา
• ค.ศ. 1782–1785
พระเจ้ามหาธัมมตะ
ยุคประวัติศาสตร์คริสต์ศตวรรษที่ 15–18
• สถาปนา
กันยายน ค.ศ. 1430
• รัฐบรรณาการสุลต่านเบงกอล
ค.ศ. 1429–1437[2]
• พิชิตจิตตะกอง
ค.ศ. 1459[3]
• ถูกควบคุมโดยพม่าตอนล่าง
ค.ศ. 1599–1603
• สูญเสียจิตตะกองแก่ราชวงศ์โมกุล
ค.ศ. 1666
• รัฐบรรณาการราชวงศ์โก้นบอง
ค.ศ. 1784
• ล่มสลาย
2 มกราคม ค.ศ. 1785
สกุลเงินDinga
ก่อนหน้า
ถัดไป
ล่องแจะ
ไร้ผู้ปกครอง
รัฐบรรณาการสุลต่านเบงกอล
ราชวงศ์โก้นบอง
รัฐบรรณาการสุลต่านเบงกอล
ชาวโปรตุเกสในจิตตะกอง
ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของ

อาณาจักรมเยาะอู้ เป็นอาณาจักรที่มีเมืองหลวงที่เมืองมเยาะอู้ ใกล้กับชายฝั่งตะวันออกของอ่าวเบงกอล ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของบังกลาเทศและรัฐยะไข่ในประเทศพม่า ปกครองตนเองเป็นอิสระระหว่าง พ.ศ. 2072–2328 ก่อนจะถูกราชวงศ์โก้นบองของพม่ายึดครอง[4]

ประวัติศาสตร์

[แก้]
กำแพงเมืองมเยาะอู้

มเยาะอู้เป็นเมืองหลวงของราชอาณาจักรยะไข่เมื่อ พ.ศ. 1974 เมื่อเมืองเติบโตขึ้นมีการสร้างวัดและเจดีย์ต่าง ๆ มากมาย และยังคงเหลืออยู่จนถึงปัจจุบัน ในราวพุทธศตวรรษที่ 20–23 ที่เมืองมเยาะอู้เป็นเมืองหลวงของราชอาณาจักรยะไข่นั้น มีพ่อค้าชาวต่างชาติเข้ามาค้าขายมากมาย รวมทั้งชาวโปรตุเกสและชาวดัตช์[5]

ในสมัยพระเจ้านรเมขลาหรือมี่นซอมูน (พ.ศ. 1947–1977) เป็นกษัตริย์ของราชอาณาจักรมเยาะอู้ พระองค์ได้ลี้ภัยไปยังเบงกอลนานถึง 24 ปี กลับมาครองราชสมบัติในยะไข่เมื่อ พ.ศ. 1973 โดยได้รับความช่วยเหลือทางทหารจากสุลต่านแห่งเบงกอล ชาวเบงกอลส่วนหนึ่งเดินทางเข้ามาในยะไข่พร้อมกับพระองค์และกลายเป็นชาวโรฮีนจาในบริเวณนี้[6][ต้องการอ้างอิง] พระเจ้านรเมขลายกดินแดนบางส่วนให้สุลต่านแห่งเบงกอล และพระองค์ปกครองดินแดนในฐานะรัฐบรรณาการของเบงกอล และได้รับพระนามแบบอิสลามด้วยแม้จะเป็นชาวพุทธ เหรียญทองดีนาร์ของเบงกอลสามารถใช้ได้ภายในราชอาณาจักร เหรียญที่สร้างในสมัยพระเจ้านรเมขลาด้านหนึ่งเป็นแบบพม่า อีกด้านเป็นแบบเปอร์เซีย[5]

หลังจากได้รับเอกราชจากสุลต่านแห่งเบงกอล กษัตรย์ยะไข่ยังคงใช้พระนามแบบมุสลิมอยู่[7] กษัตริย์ถือว่าตนเป็นสุลต่านและทำตามแบบจักรวรรดิโมกุลแม้ว่าตนเป็นชาวพุทธ มีการจ้างมุสลิมเข้ารับราชการในตำแหน่งต่าง ๆ[8] ระหว่าง พ.ศ. 2074–2172 มีชาวโปรตุเกสมาค้าทาสชาวเบงกอลตามบริเวณแนวชายฝั่งของยะไข่ ประชากรมุสลิมเบงกอลเพิ่มขึ้นในพุทธศตวรรษที่ 22 และมีการจ้างงานที่หลากหลายในยะไข่ ส่วนหนึ่งเป็นล่ามภาษาอาหรับ ภาษาเบงกอล และภาษาเปอร์เซียในศาล แม้ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวพุทธ แต่ก็ดำเนินการตามแบบของรัฐสุลต่านแห่งเบงกอลอยู่มาก[9] ยะไข่สูญเสียการควบคุมเบงกอลตะวันออกเฉียงใต้เมื่อราชวงศ์โมกุลรุกรานเข้ามาในจิตตะกอง

เมืองมเยาะอู้ที่สร้างโดยพระเจ้านรเมขลาเป็นราชธานีอยู่นาน 355 ปี เมืองนี้เป็นที่รู้จักในยุโรปเมื่อฟรีอาร์ เซบาสเตียน มันริก เดินทางมาถึงเมื่อ พ.ศ. 2178 ในสมัยพระเจ้าสิริสุธรรมมา (Thiri Thudhamma) พระมหามุนี พระพุทธรูปที่ปัจจุบันอยู่ในมัณฑะเลย์เดิมอยู่มเยาะอู้ ภายในเมืองมเยาะอู้มีคลองมากมายใช้ในการคมนาคม และมีวัดเป็นจำนวนมาก[10]

อ้างอิง

[แก้]
  1. Rakhine Razawin Thit Vol 2 (ภาษาพม่า). Ashin. Sandamala Likãra. p. 8 to 21.
  2. Rakhine Razawin Thit Vol 2 (ภาษาพม่า). Ashin. Sandamala Likãra. p. 8 to 21.
  3. Rakhine Razawin Thit Vol 2 (ภาษาพม่า). Ashin. Sandamala Likãra. p. 23 to 25.
  4. Maung Maung Tin, Vol. 2, p. 25
  5. 5.0 5.1 Richard, Arthus (2002). History of Rakhine. Boston, MD: Lexington Books. p. 23. ISBN 0-7391-0356-3. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-04-08. สืบค้นเมื่อ 8 July 2012.
  6. Yegar, Moshe (2002). Between integration and secession: The Muslim communities of the Southern Philippines, Southern Thailand, and Western Burma / Myanmar. Lanham, MD: Lexington Books. p. 23. ISBN 0739103563. สืบค้นเมื่อ 8 July 2012.
  7. Yegar, Moshe (2002). Between integration and secession: The Muslim communities of the Southern Philippines, Southern Thailand, and Western Burma / Myanmar. Lanham, MD: Lexington Books. pp. 23–4. ISBN 0739103563. สืบค้นเมื่อ 8 July 2012.
  8. Yegar, Moshe (2002). Between integration and secession: The Muslim communities of the Southern Philippines, Southern Thailand, and Western Burma / Myanmar. Lanham, MD: Lexington Books. p. 24. ISBN 0739103563. สืบค้นเมื่อ 8 July 2012.
  9. (Aye Chan 2005, p. 398)
  10. William, Cornwell (2004). June 2013 History of Mrauk U. Amherst, MD: Lexington Books. p. 232. ISBN 0-7391-0356-3. {{cite book}}: ตรวจสอบค่า |url= (help)
  • Charney, Michael W. (1993). 'Arakan, Min Yazagyi, and the Portuguese: The Relationship Between the Growth of Arakanese Imperial Power and Portuguese Mercenaries on the Fringe of Mainland Southeast Asia 1517-1617.' Masters dissertation, Ohio University.
  • Hall, D.G.E. (1960). Burma (3rd ed.). Hutchinson University Library. ISBN 978-1-4067-3503-1.
  • Harvey, G. E. (1925). History of Burma: From the Earliest Times to 10 March 1824. London: Frank Cass & Co. Ltd.
  • Htin Aung, Maung (1967). A History of Burma. New York and London: Columbia University Press.
  • Maung Maung Tin (1905). Konbaung Hset Maha Yazawin (ภาษาพม่า). Vol. 2 (2004 ed.). Yangon: Department of Universities History Research, University of Yangon.
  • Myat Soe, บ.ก. (1964). Myanma Swezon Kyan (ภาษาพม่า). Vol. 9 (1 ed.). Yangon: Sarpay Beikman.
  • Myint-U, Thant (2006). The River of Lost Footsteps--Histories of Burma. Farrar, Straus and Giroux. ISBN 978-0-374-16342-6. ISBN 0-374-16342-1.
  • Phayre, Lt. Gen. Sir Arthur P. (1883). History of Burma (1967 ed.). London: Susil Gupta.
  • Encyclopædia Britannica. 1984 Edition. Vol. VII, p. 76