ข้ามไปเนื้อหา

ยูริพิดีส

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ยูริพิดีส
Εὐριπίδης
รูปปั้นครึ่งตัวของยุริพิดีส:
ศิลปะหินอ่อนลอกแบบโดยชาวโรมันจากของต้นฉบับในกรีซ ศตวรรษที่ 4 ก่อนค.ศ.
เกิดราว 480 ก่อนค.ศ.
ซาลามิส
เสียชีวิตราว 406 ก่อนค.ศ. (อายุ 74ปี)
ราชอาณาจักรมาเกโดนีอา
อาชีพนักประพันธ์บทละคร
ผลงานเด่น
คู่สมรสเมลิเต้
บิดามารดามเนซาร์คัส (Mnesarchus)
คเลตอ

ยูริพิดีส (อังกฤษ: Euripides; กรีกโบราณ: Εὐριπίδης; ภาษากรีกโบราณ[eu̯.riː.pí.dɛːs]) (ราว 480 – 406 ก่อนค.ศ.) เป็นนักประพันธ์บทละครโศกนาฏกรรมของนครเอเธนส์ในยุคคลาสสิค และเป็น 1 ใน 3 นาฏศิลปินในสาขาโศกนาฏกรรมที่มีชื่อเสียงที่สุดของกรีซโบราณ ร่วมกับเอสคีลัส (Aeschylus) และซอโฟคลีส (Sophocles) นักประวัติศาสตร์สมัยโบราณเชื่อว่ายูริพิดีสเขียนบทละครทั้งหมด 92 ถึง 95 เรื่อง (ซูดาเชื่อว่าท่านประพันธ์ไว้ไม่เกิน 92 เรื่อง) โดยมีเหลือรอดมาในปัจจุบัน 18 หรือ 19 เรื่อง ในสภาพเนื้อหาครบถ้วน และมีบางเรื่องนอกเหนือจากนี้มี่หลงเหลือมาเป็นเพียงบางส่วน ในบรรดานาฏศิลปินของเอเธนส์โบราณ ยุริพิดีสมีงานหลงเหลือมาถึงเรามากที่สุด ส่วนหนึ่งเพราะความนิยมในงานของเอสคีลัส และของซอโฟคลีสลดต่ำลง[1][2] ในขณะที่ความนิยมในงานของท่านเพิ่มมากขึ้น งานของยูริพิดีสกลายเป็นฐานรากที่สำคัญยิ่งในวรรณคดีศึกษาในสังคมกรีซสมัยเฮลเลนิสติก ร่วมกับงานของโฮเมอร์, ดีมอสเธนีส และเมแนนเดอร์[3]

ยูริพิดีสสร้างนวัตกรรมทางการละครหลายอย่างที่มีอิทธิพลต่อการละครมาจนยุคสมัยใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำเสนอตัวละครฮีโร่ หรือวีรบุรุษตามเทพปกรณัมแต่ดั้งเดิม ในฐานะคนธรรมดาที่อยู่ในเหตุการณ์พิเศษหรือลำบาก ทำให้เกิดการตีความใหม่ได้หลายรูปแบบ ยูริพิดีสได้รับการขนานนามว่าเป็นกวีที่เข้าถึงโศกนาฏกรรมมากที่สุด[4] เนื่องจากท่านพุ่งโฟกัสไปที่ความรู้สึกนึกคิด และมูลเหตุจูงใจของตัวละครในแบบที่ไม่มีใครพบเห็นมาก่อน[5][6] นำไปสู่สร้างตัวละครชายหญิงที่ต้องมาทำลายกันและกัน ด้วยความเข้มข้นของความรักและความชิงชังในหัวใจของตน[7] อันเป็นต้นแบบที่นาฏศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ในสมัยต่อๆมาเดินตาม ไม่ว่าเช็คสเปียร์ หรือราซีน (Racine)

นักประพันธ์ในเอเธนส์สมัยโบราณล้วนแต่มีชาติกำเนิดสูง แต่ยูริพิดีสต่างกับนักประพันธ์เหล่านั้นเพราะท่านมักแสดงความเห็นอกเห็นใจผู้ที่ด้อยโอกาส หรือตกเป็นเหยื่อสังคมในทุกรูปแบบ รวมไปถึงพวกผู้หญิง[8] เนื้อหาบทละครของยูริพิดีสจึงมักจะช็อคคนดูที่ส่วนใหญ่เป็นพลเมืองเพศชาย และมีทัศนะคติไปในทางอนุรักษ์นิยม[9] ผู้ที่มีชีวิตอยู่ร่วมสมัยกับยูริพิดีสมักจะจัดให้ท่านรวมไปเป็นพวกเดียวกับโสเครตีส ในฐานะผู้นำของความเสื่อมทางปัญญา (decadent intellectualism) และทั้งคู่มักจะถูกล้อเลียนโดยกวี และนักแต่งบทละครแนวตลกขบขันอยู่เสมอ ดังที่งานของอริสโตฟาเนสแสดงให้เห็น แต่ในขณะที่โสเครตีสต้องคดีและต่อมาถูกตัดสินประหารชีวิตในข้อหาชักนำประเทศไปในทางชั่ว ยูริพิดีสเลือกจากเนรเทศตัวเองไปจากเอเธนส์ในวัยชรา และไปเสียชีวิตที่นครเพลลา ราชอาณาจักรมาเกโดนีอา[10] ตามคำเชิญของพระเจ้าอาร์คีเลอัสซึ่งนิยมชมชอบศิลปิน


อ้างอิง

[แก้]
  1. B. Knox,'Euripides' in The Cambridge History of Classical Literature I: Greek Literature, P. Easterling and B. Knox (ed.s), Cambridge University Press (1985), p. 316
  2. Moses Hadas, Ten Plays by Euripides, Bantam Classic (2006), Introduction, p. ix
  3. L.P.E.Parker, Euripides: Alcestis, Oxford University Press (2007), Introduction p. lx
  4. The epithet "the most tragic of poets" was coined by Aristotle, probably in reference to a perceived preference for unhappy endings, yet it has wider relevance: "For in his representation of human suffering Euripides pushes to the limits of what an audience can stand; some of his scenes are almost unbearable."—B. Knox,'Euripides' in The Cambridge History of Classical Literature I: Greek Literature, P. Easterling and B. Knox (ed.s), Cambridge University Press (1985), p. 339
  5. Moses Hadas, Ten Plays by Euripides, Bantam Classic (2006), Introduction, pp. xviii–xix
  6. A.S. Owen, Euripides: Ion, Bristol Classical Press (1990), Introduction p. vii
  7. B.M.Knox, 'Euripides' in The Cambridge History of Classical Literature I: Greek Literature, P. Easterling and B. Knox (ed.s), Cambridge University Press (1985), p. 329
  8. Nussbaum, Martha. The Fragility of Goodness, pp. 411–13.
  9. Denys L. Page, Euripides: Medea, Oxford University Press (1976), Introduction p. xi, (quoting translation by Murray)
  10. Denys L. Page, Euripides: Medea, Oxford University Press (1976), Introduction pp. ix–xii

บรรณานุกรม

[แก้]