ข้ามไปเนื้อหา

ผู้ใช้:Supakit prem/ทดลองเขียน

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

ชีวิตช่วงต้น

[แก้]
ภาพถ่ายขาวดำของเด็กหนุ่มที่มองไปด้านขวา
ปิวซุตสกีในชุดนักเรียน

ปิวซุตสกีเกิดเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม ค.ศ. 1867 ในตระกูลขุนนางปิวซุตสกีที่อาศัยอยู่ในคฤหาสน์ซูวุฟ (Zułów) ใกล้กับหมู่บ้านซูวุฟ (ปัจจุบันคือเมืองซาลาวัส ประเทศลิทัวเนีย)[1][2] ในตอนที่เขาเกิด หมู่บ้านซูวุฟอยู่ในการปกครองของจักรวรรดิรัสเซียนับมาตั้งแต่ ค.ศ. 1795 โดยก่อนหน้านั้น หมู่บ้านนี้อยู่ในเขตของแกรนด์ดัชชีลิทัวเนีย ซึ่งเป็นดินแดนส่วนประกอบของเครือจักรภพโปแลนด์–ลิทัวเนียมาตั้งแต่ ค.ศ. 1569 ถึง ค.ศ. 1795 ต่อมาภายหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง หมู่บ้านกลายเป็นส่วนหนึ่งของภูมิภาควิลนีอัส ซึ่งเป็นพื้นที่พิพาทระหว่างลิทัวเนียกับโปแลนด์ตลอดสมัยระหว่างสงคราม โดยนับตั้งแต่ ค.ศ. 1922 จนกระทั่ง ค.ศ. 1939 หมู่บ้านนี้อยู่ในเขตปกครองของสาธารณรัฐโปแลนด์ที่ 2 จากนั้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง หมู่บ้านต้องเผชิญกับการยึดครองของโซเวียตและเยอรมนี ทรัพย์ที่ดินของยูแซฟมาจากสินสมรสของมาเรีย ผู้เป็นมารดา ซึ่งเป็นสมาชิกของตระกูลบิลแลวิตช์ผู้มั่งคั่ง[3][4] ตระกูลปิวซุตสกีเป็นตระกูลขุนนางที่ยากจน[5] แต่ยึดมั่นในธรรมเนียมการรักชาติโปแลนด์[6][7] และมีอุปนิสัยความเป็นชาวโปแลนด์[8][9] หรือชาวลิทัวเนียที่นิยมโปแลนด์[5][10][b] ยูแซฟเป็นบุตรชายคนที่สองของตระกูล[11]

ยูแซฟเข้าศึกษาที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาในวิลนีอัส ร่วมกับบรอนิสวัฟ อดัม และยัน ผู้เป็นพี่ชาย โดยที่โรงเรียนเขาไม่ใช่นักเรียนที่ขยันมากนัก[12] ยูแซฟได้รับการแนะนำจากมารดาให้เข้าศึกษาในสาขาวิชาประวัติศาสตร์และวรรณกรรมโปแลนด์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทางการสั่งระงับไว้[13] สำหรับบิดาของเขาก็มีชื่อว่ายูแซฟเช่นเดียวกัน โดยเป็นหนึ่งในผู้ร่วมต่อต้านการปกครองของรัสเซียในการก่อการกำเริบเดือนมกราคม ค.ศ. 1863[6] จากการที่ตระกูลปิวซุตสกีไม่พอใจกับนโยบายการทำให้เป็นรัสเซียของรัฐบาล ยูแซฟในวัยหนุ่มจึงไม่ต้องการเข้าร่วมพิธีกรรมของคริสตจักรรัสเซียออร์ทอดอกซ์เป็นอย่างยิ่ง[13] ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว เขาได้ออกจากโรงเรียนด้วยความเกลียดชังต่อระบอบซาร์ จักรวรรดิ และวัฒนธรรมรัสเซีย[5]

ใน ค.ศ. 1885 ปิวซุตสกีเข้าศึกษาต่อด้านการแพทย์ที่มหาวิทยาลัยฮาร์คอฟ โดยในช่วงนี้เองที่เขาเริ่มเข้าไปพัวพันกับกลุ่มนารอดนายาวอลยา (Narodnaya Volya) ซึ่งเป็นกลุ่มหนึ่งของขบวนการปฏิวัติรัสเซียนารอดนิค (narodniks)[14] ใน ค.ศ. 1886 เขาถูกขับออกจากมหาวิทยาลัย เนื่องจากเข้าร่วมการประท้วงของเหล่านักศึกษา[6] เขาจึงยื่นสมัครเข้ามหาวิทยาลัยดอร์ปัตแต่ถูกปฏิเสธ เพราะทางมหาวิทยาลัยได้รับแจ้งเกี่ยวกับการเข้าไปพัวพันทางการเมือง[6] เมื่อวันที่ 22 มีนาคม ค.ศ. 1887 ทางการจักรวรรดิเข้าจับกุมปิวซุดสกีในข้อหาร่วมกันวางแผนสมคบกับนักสังคมนิยมในวิลนีอัสในการลอบปลงพระชนม์จักรพรรดิอะเลคซันดร์ที่ 3 อันที่จริงแล้ว ปิวซุดสกีไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับแผนการ หากแต่บรอนิสวัฟ น้องชายของเขาเป็นผู้เข้าร่วมในแผนการลอบปลงพระชนม์[15][16] ยูแซฟได้รับโทษเนรเทศไปยังไซบีเรียเป็นเวลา 5 ปี โดยช่วงแรกเขาถูกคุมตัวอยู่ที่คีเรนสค์ บริเวณแม่น้ำลีนา แล้วต่อมาจึงย้ายไปที่ตุนคา[6][16]

เนรเทศไปไซบีเรีย

[แก้]

ขณะกำลังเคลื่อนย้ายนักโทษไปยังไซบีเรีย ปิวซุดสกีถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำในอีร์คุตสค์เป็นเวลาหลายสัปดาห์[17] โดยในระหว่างการคุมขัง มีผู้ต้องขังคนอื่น ๆ โดนผู้คุมดูถูกเหยียดหยามและไร้ซึ่งการขอโทษ ปิวซุดสกีและนักโทษการเมืองคนอื่นต่างโดนผู้คุมทำร้ายร่างกาย เนื่องจากการขัดขืนของบรรดานักโทษ และทำให้ปิวซุดสกีสูญเสียฟันไป 2 ซี่ ต่อมาเขาได้ร่วมการอดอาหารประท้วง จนกระทั่งทางการคืนสิทธิพิเศษให้แก่นักโทษการเมืองที่ถูกลิดรอนภายหลังเหตุการณ์ดังกล่าว[18] ใน ค.ศ. 1888 เขาได้รับโทษจำคุกอีก 6 เดือนจากการมีส่วนร่วมในการประท้วง โดยในคืนแรกของการจองจำ ปิวซุตสกีต้องเผชิญกับความหนาวเย็นของไซบีเรียที่มีอุณหภูมิติดลบ 40 องศา ซึ่งด้วยเหตุนี้ทำให้ปิวซุตสกีเจ็บป่วยแทบสิ้นชีวิตและมีปัญหาสุขภาพตามรบกวนเขาไปตลอด[19]

ในระหว่างการเนรเทศ ปิวซุตสกีได้พบกับซือบีรัก (Sybirak) กลุ่มผู้ที่ตั้งถิ่นฐานใหม่ในไซบีเรีย[20] โดยเขาได้รับอนุญาตให้ทํางานได้ตามใจชอบและเป็นครูผู้สอนวิชาคณิตศาสตร์และภาษาต่างประเทศให้แก่เด็กในท้องถิ่น[5] (นอกจากภาษารัสเซียและภาษาโปแลนด์แล้ว เขารู้ภาษาฝรั่งเศส ภาษาเยอรมัน และภาษาลิทัวเนีย ซึ่งต่อมาเขาได้เรียนภาษาอังกฤษ)[21] เขาไม่มีสิทธิ์ได้รับเงินบำนาญ 10 รูเบิล เหมือนกับคนอื่น ๆ เนื่องจากเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นถือว่าเขาเป็นขุนนางโปแลนด์[22]

พรรคสังคมนิยมโปแลนด์

[แก้]

ใน ค.ศ. 1892 ปิวซุตสกีกลับจากการเนรเทศและอาศัยอยู่ในคฤหาสน์อดอมาวัส ใกล้กับเตเนเนย์ (Teneniai) ต่อมาเมื่อ ค.ศ. 1893 เขาเข้าร่วมพรรคสังคมนิยมโปแลนด์[6] และมีส่วนช่วยจัดตั้งพรรคสังคมนิยมสาขาลิทัวเนีย[23] โดยเขาอยู่ฝ่ายนักสังคมนิยมหัวรุนแรงในช่วงแรก แม้ว่าขบวนการสังคมนิยมจะเป็นสากลนิยมอย่างเด่นชัด แต่เขายังคงมีแนวคิดชาตินิยมโปแลนด์[24] ใน ค.ศ. 1894 เขากลายเป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์และได้ตีพิมพ์หนังสือพิมพ์รอบ็อตนิก (Robotnik; แปลว่า คนงาน) ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์ใต้ดินของฝ่ายสังคมนิยม รวมถึงเป็นหนึ่งในบรรณาธิการนักเขียน (chief writer) และช่างเรียงพิมพ์ของพรรค[6][14][25][26] ใน ค.ศ. 1895 ปิวซุตสกีกลายเป็นผู้นำพรรคสังคมนิยมโปแลนด์ เขาได้ส่งเสริมจุดยืนที่ว่าประเด็นทางทฤษฎีสังคมนิยมมีความสําคัญเล็กน้อย และอุดมการณ์สังคมนิยมควรรวมเข้ากับอุดมการณ์ชาตินิยม เพราะการรวมกันนี้จะทำให้การฟื้นฟูเอกราชของโปแลนด์มีโอกาสสูงมากขึ้น[14]

ภาพถ่ายชายหนุ่มที่มองไปด้านซ้าย
ปิวซุตสกีใน ค.ศ. 1899

เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม ค.ศ. 1899 ขณะเป็นสมาชิกขององค์กรใต้ดิน ปิวซุตสกีได้แต่งงานกับมาเรีย ยุชกีแยวิตชอวา (née กอปแลฟสกา) สหายนักสังคมนิยม[27][28][29] วัตส์วัฟ แยนดแชแยวิช ผู้เขียนชีวประวัติของเขากล่าวว่าการแต่งงานนี้เป็นเพียงเพื่อผลประโยชน์มากกว่าความรัก ซึ่งสำนักพิมพ์ของรอบ็อตนิกเดิมตั้งอยู่ที่หอพักของพวกเขาในวิลนีอัสเช่นกัน และต่อมาจึงย้ายไปที่วุช การแสร้งใช้ชีวิตแบบครอบครัวปกติทําให้ทางการจับตามองพวกเขาน้อยลง รวมถึงกฎหมายรัสเซียยังปกป้องภรรยาจากกิจกรรมที่ผิดกฎหมายของสามีอีกด้วย[30] หลายปีต่อมา การแต่งงานของพวกเขาเริ่มย่ำแย่ลง เนื่องจากปิวซุตสกีเริ่มมีความสัมพันธ์กับอาแล็กซันดาร์ ชตแซร์บิญสกา นักสังคมนิยมที่อายุน้อยกว่า[24] เมื่อมาเรียเสียชีวิตใน ค.ศ. 1921 ปิวซุตสกีจึงแต่งงานกับอาแล็กซันดาร์ในเดือนตุลาคมของปีเดียวกัน ทั้งสองมีบุตรสาวด้วยกันสองคน ได้แก่ วันดาและยัตวีกา[31]

ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1900 ทางการรัสเซียได้ตรวจพบสำนักพิมพ์ใต้ดินของรอบ็อตนิกในวุช ทำให้ปิวซุตสกีถูกคุมขังที่เนินปราสาทวอร์ซอ โดยเขาได้แสร้งเป็นผู้ป่วยทางจิตในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1901 และหนีออกจากโรงพยาบาลจิตเวชที่เซนต์ปีเตอส์เบิร์กด้วยความช่วยเหลือจากววาดึสวัฟ มาซูร์กีแยวิตช์ ผู้เป็นนายแพทย์ชาวโปแลนด์ และคนอื่น ๆ เขาได้หลบหนีไปยังกาลิเชีย ซึ่งเป็นดินแดนภายใต้จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี จากนั้นจึงเดินทางไปที่เลย์ตันสโตน (Leytonstone) กรุงลอนดอน และอาศัยอยู่กับครอบครัวของแลอ็อน วาซีแลฟสกี[6]

กลุ่มต่อต้านติดอาวุธ

[แก้]

ในช่วงทศวรรษ 1900 พรรคการเมืองแทบทั้งหมดในรัสเซีย โปแลนด์ และลิทัวเนีย ได้ผ่อนคลายความตึงเครียดต่อจักรวรรดิรัสเซีย และมุ่งเป้าในการเจรจากับจักรวรรดิเพื่อจัดตั้งอำนาจปกครองตนเองให้แก่โปแลนด์ ในทางกลับกัน พรรคสังคมนิยมโปแลนด์ของปิวซุตสกีเป็นเพียงกองกำลังทางการเมืองที่เตรียมพร้อมในการต่อสู้กับจักรวรรดิเพื่อเอกราชของโปแลนด์เท่านั้น และเลือกใช้ความรุนแรงเพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว[5]

เมื่อสงครามรัสเซีย-ญี่ปุ่นอุบัติขึ้นในฤดูร้อนของ ค.ศ. 1904 ปิวซุตสกีได้เดินไปที่โตเกียวเพื่อร้องขอความช่วยเหลือจากญี่ปุ่นสำหรับการจลาจลในโปแลนด์ แต่ความพยายามดังกล่าวไม่เป็นผลสำเร็จ โดยเขาได้เสนอการจัดหาข่าวกรองให้กับญี่ปุ่นเพื่อสนับสนุนการทำสงครามกับรัสเซีย ตลอดจนเสนอให้จัดตั้งหน่วยทหารโปแลนด์จากทหารเกณฑ์โปแลนด์ในกองทัพรัสเซียซึ่งถูกญี่ปุ่นจับเป็นเชลย[32] รวมถึงยังเสนอโครงการ "ปรอแมแตอิซม์" (Prometeizm) ซึ่งมีเป้าหมายในการทําลายจักรวรรดิรัสเซีย และเขายังคงดําเนินการตามแผนต่อไปในเวลาต่อมา[33] ในระหว่างการหารือกับยามากาตะ อาริโตโมะ ปิวซุตสกีเสนอให้เปิดฉากสงครามกองโจรในโปแลนด์เพื่อก่อกวนรัสเซีย และร้องขอให้ญี่ปุ่นจัดหาอาวุธให้แก่เขา แม้ว่าฮายาชิ ทาดาซึ นักการทูตญี่ปุ่นจะสนับสนุนแผนการนี้ แต่ทางรัฐบาลญี่ปุ่นรวมถึงยามากาตะเกิดข้อสงสัยมากมาย[34] รอมัน ดมอฟสกี คู่แข่งคนสำคัญของปิวซุตสกีได้เดินทางไปที่ญี่ปุ่นเช่นเดียวกัน พร้อมกับเห็นแย้งต่อแผนการของปิวซุตสกี ตลอดจนกีดกันรัฐบาลญี่ปุ่นจากการสนับสนุนการปฏิวัติโปแลนด์ เพราะเขาเห็นว่าผลสุดท้ายจะนำไปสู่ความล้มเหลว[32][35] ญี่ปุ่นสนับสนุนปิวซุตสกีน้อยกว่าที่เขาคาดหวังไว้ ซึ่งเขาไดัรับความช่วยเหลือจากญี่ปุ่นในด้านการจัดหาอาวุธและกระสุนให้กับพรรคสังคมนิยมโปแลนด์ แต่กลับปฏิเสธข้อเสนอการจัดตั้งหน่วยทหาร[6][32]

ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงของ ค.ศ. 1904 ปิวซุตสกีได้จัดตั้งกองกำลังกึ่งทหาร (องค์กรประจัญบานแห่งพรรคสังคมนิยมโปแลนด์ หรือ "บอยุฟกี" (bojówki)) โดยมีจุดประสงค์เพื่อจัดตั้งแนวร่วมติดอาวุธเพื่อต่อต้านทางการรัสเซีย[35] พรรคสังคมนิยมโปแลนด์จัดการประท้วงซึ่งเกิดขึ้นที่วอร์ซอเป็นส่วนใหญ่ ทหารม้าคอสแซ็กรัสเซียได้เข้าปราบปรามการประท้วงในวันที่ 28 ตุลาคม ค.ศ. 1904 และในระหว่างการประท้วงอีกครั้งเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน กำลังกึ่งทหารของปิวซุตสกีจึงเปิดฉากโจมตีโต้กลับตำรวจและกองทัพรัสเซีย[35][36] โดยในช่วงแรกกองกำลังมุ่งเป้าไปที่สายลับและหน่วยข่าวกรอง แต่จากนั้นในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1905 กําลังกึ่งทหารเริ่มใช้ระเบิดเพื่อลอบสังหารเจ้าหน้าที่ตํารวจรัสเซียที่ได้รับการคัดเลือก[37]

การปฏิวัติรัสเซีย

[แก้]

ในระหว่างการปฏิวัติรัสเซีย ค.ศ. 1905 ปิวซุตสกีเป็นแกนนำคนสำคัญในเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในคองเกรสโปแลนด์ โดยในช่วงต้น ค.ศ. 1905 เขาสั่งให้พรรคสังคมนิยมโปแลนด์เปิดฉากการนัดหยุดงานทั่วไป มีคนงานเข้าร่วมการนัดหยุดงานครั้งนี้ประมาณ 400,000 คน ซึ่งกินเวลาสองเดือนด้วยกัน จนกระทั่งทางการรัสเซียเข้าสลายการชุมนุม[35] ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1905 ปิวซุตสกีส่งกำลังกึ่งทหารเข้าให้ความช่วยเหลือแก่การจลาจลในวุช หรือที่ต่อมารู้จักกันในชื่อวันมิถุนายน มีการปะทะกันเกิดขึ้นในวุชระหว่างกำลังกึ่งทหารของปิวซุตสกี กับมือปืนที่ภักดีต่อดมอฟสกีและฝ่ายประชาธิปไตยแห่งชาติ[35] เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม ค.ศ. 1905 ปิวซุตสกีเรียกร้องให้คนงานโปแลนด์ทั้งหมดลุกขึ้นสู้ แต่การเรียกร้องดังกล่าวไม่ได้รับความสนใจมากเท่าที่ควร[35]

ปิวซุตสกีได้สั่งให้พรรคสังคมนิยมโปแลนด์คว่ำบาตรการเลือกตั้งสภาดูมาชุดที่หนึ่ง[35] ซึ่งการตัดสินใจครั้งนี้และการแก้ปัญหาของเขาในความพยายามสร้างเอกราชของโปแลนด์ผ่านการปฏิวัติ ทำให้เกิดความตึงเครียดภายในพรรคสังคมนิยมเสียเอง และในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1906 พรรคสังคมนิยมส่วนหนึ่งจึงแยกตัวออกจากฝ่ายของปิวซุตสกี[38] โดยฝ่ายของปิวซุตสกีมีชื่อว่า "ฝ่ายเก่า" หรือ "ฝ่ายปฏิวัติ" ("Starzy" หรือ "Frakcja Rewolucyjna") ส่วนฝ่ายตรงข้ามมีชื่อว่า "ฝ่ายใหม่" หรือ "ฝ่ายสายกลาง" หรือ "ฝ่ายซ้าย" ("Młodzi", "Frakcja Umiarkowana", "Lewica") ฝ่ายใหม่มีท่าทีเห็นด้วยกับพรรคประชาธิปไตยสังคมนิยมแห่งราชอาณาจักรโปแลนด์และลิทัวเนีย และเชื่อว่าควรให้ความสําคัญกับการร่วมมือกับนักปฏิวัติรัสเซียในการโค่นล้มระบอบซาร์และก่อตั้งระบอบสังคมนิยมแบบยูโทเปีย เพื่ออำนวยความสะดวกสำหรับการเจรจาเพื่อเอกราช[14] ปิวซุตสกีกับผู้สนับสนุนในฝ่ายปฏิวัติยังคงวางแผนในการปฏิวัติระบอบซาร์รัสเซียเพื่อให้ได้มาซึ่งเอกราชของโปแลนด์[6] ใน ค.ศ. 1909 ฝ่ายของเขากลายเป็นฝ่ายแกนนำหลักของพรรค และปิวซุตสกีได้กลายเป็นบุคคลสำคัญของพรรคจนกระทั่งสงครามโลกครั้งที่หนึ่งได้อุบัติขึ้น[39]

อารัมภบทสู่สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง

[แก้]

ปิวซุตสกีได้คาดการณ์ว่าสงครามในทวีปยุโรปจะเกิดขึ้นในไม่ช้า[40] และมีความจำเป็นต้องจัดระเบียบโครงสร้างผู้นำของกองทัพโปแลนด์ในอนาคต เขาต้องการสร้างเอกราชของโปแลนด์จากจักรวรรดิทั้งสามที่เคยแบ่งแยกโปแลนด์เมื่อปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 โดยใน ค.ศ. 1906 ปิวซุตสกีได้จัดตั้งโรงเรียนทหารในกรากุฟเพื่อฝึกฝนกองกำลังกึ่งทหาร โดยได้รับการส่งเสริมอย่างลับ ๆ จากทางการออสเตรีย[38] ซึ่งในปีเดียวกันนั้น กำลังกึ่งทหารที่แข็งแกร่งจำนวน 800 นาย ซึ่งแบ่งฝ่ายปฏิบัติการอย่างละ 5 นาย ในราชอาณาจักรคองเกรสโปแลนด์ ได้สังหารเจ้าหน้าที่รัสเซียทั้งหมด 336 คน ในปีต่อมา จำนวนการสูญเสียกำลังพลลดลง และใน ค.ศ. 1908 กำลังกึ่งทหารมีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็น 2,000 นาย[38][41] นอกจากนี้ กำลังกึ่งทหารยังได้ตัดการขนส่งสกุลเงินรัสเซียที่ออกจากดินแดนโปแลนด์ โดยในคืนวันที่ 26/27 กันยายน ค.ศ. 1908 มีการจี้รถไฟไปรษณีย์ซึ่งรัสเซียใช้ขนส่งรายได้จากภาษีจากวอร์ซอไปยังเซนต์ปีเตอส์เบิร์ก[38] ปิวซุตสกีซึ่งเข้าร่วมการปล้นแบ็ซดานือใกล้เมืองวิลนีอัส นำเงินทุนที่ได้รับเพื่อจัดหาเงินทุนให้กับองค์กรทางทหารลับของเขา[42] ความมั่งคั่งที่พวกเขาได้รับจากการปล้นสะดมทั้งสิ้น 200,812 รูเบิล เป็นจํานวนเงินมหาศาลในขณะนั้น เทียบเท่ากับรายได้รวมของกองกำลังกึ่งทหารในช่วงสองปีแรก[41]

ใน ค.ศ. 1908 ปิวซุตสกีได้เปลี่ยนกองกำลังกึ่งทหารเป็น "สหภาพการต่อสู้เชิงรุก" (Związek Walki Czynnej หรือ ZWC) ซึ่งนำโดยเพื่อนร่วมงานของเขาสามคน ได้แก่ ววาดึสวัฟ ซีกอร์สกี, Marian Kukiel, และKazimierz Sosnkowski[38] โดยจุดประสงค์หลักของสหภาพ คือ การฝึกฝนเจ้าหน้าที่ทหารและนายทหารชั้นสัญญาบัตรสำหรับกองทัพโปแลนด์ในอนาคต[14] ใน ค.ศ. 1910 องค์กรกึ่งทหารที่ถูกกฎหมายสองแห่งถูกสร้างขึ้นในดินแดนโปแลนด์ของออสเตรีย หนึ่งแห่งในลวูฟ (ปัจจุบันคือลวิว ประเทศยูเครน) และอีกแห่งในกรากุฟ เพื่อดําเนินการฝึกอบรมด้านวิทยาศาสตร์การทหาร โดยได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่ออสเตรีย ปิวซุตสกีจึงได้ก่อตั้ง "สโมสรกีฬา" ที่ต่อมาเป็นสมาคมปืนไรเฟิล เพื่อปกปิดเพื่อฝึกกองกําลังทหารโปแลนด์ ใน ค.ศ. 1912 ปิวซุตสกี (using the pseudonym "Mieczysław") กลายเป็นผู้บัญชาการสมาคนปืนไรเฟิล (Związek Strzelecki) โดยใน ค.ศ. 1914 พวกเขาเพิ่มจำนวนขึ้นเป็น 12,000 นาย[6][38] ใน ค.ศ. 1914 ขณะบรรยายในปารีส ปิวซุตสกีได้ประกาศว่า "มีเพียงดาบเท่านั้นที่ตอนนี้มีน้ําหนักใด ๆ ในความสมดุลสําหรับชะตากรรมของชาติ" โดยโต้แย้งว่าเอกราชของโปแลนด์สามารถทําได้ผ่านการต่อสู้ทางทหารกับอํานาจแบ่งแยกเท่านั้น[38][43]

สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง

[แก้]

ณ การประชุมที่ปารีสเมื่อ ค.ศ. 1914 ปิวซุตสกีได้คาดการณ์ไว้ว่าเพื่อเอกราชของโปแลนด์ในสงครามที่กำลังดำเนินขึ้น รัสเซียจะต้องพ่ายแพ้ต่อฝ่ายมหาอำนาจกลาง (จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี และจักรวรรดิเยอรมัน) และฝ่ายมหาอำนาจกลางก็จะต้องพ่ายแพ้ต่อฝรั่งเศส สหราชอาณาจักร และสหรัฐอีกทอดหนึ่ง[40][44]

เมื่อสงครามเริ่มต้นขึ้น ในวันที่ 3 สิงหาคม ณ เมืองกรากุฟ ปิวซุตสกีได้ก่อตั้งหน่วยทหารเสนาธิการขนาดเล็กที่มีชื่อว่า "กองร้อยเสนาธิการที่หนึ่ง" ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกจากสมาคมทหารปืนเล็กยาวและกลุ่มทหารปืนเล็กยาวโปแลนด์[45] ในวันเดียวกันนั้น หน่วยทหารม้าที่อยู่ในการบัญชาของWładysław Belina-Prażmowski ถูกส่งไปสอดแนมข้ามพรมแดนรัสเซียก่อนการประกาศสงครามอย่างเป็นทางการระหว่างจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีกับรัสเซียเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม ค.ศ. 1914[46]

A group of men standing in front of a building. They are dressed in military uniforms.
ปิวซุตสกีกับเสนาธิการที่เมืองกีแยลต์แซในวันที่ 12 สิงหาคม ค.ศ. 1914

กลยุทธ์ของปิวซุตสกี คือ การส่งกองกำลังของเขาขึ้นเหนือข้ามเขตแดนโปแลนด์ของรัสเซียสู่พื้นที่ที่กองทัพรัสเซียล่าถอย โดยหวังว่าจะฝ่าไปถึงวอร์ซอและจุดชนวนให้เกิดการปฏิวัติทั่วประเทศ[14][47] ในช่วงแรก ๆ เขามีกองกำลังที่จำกัดและได้อ้างว่าตนได้รับการสนับสนุนจาก "รัฐบาลแห่งชาติในวอร์ซอ" ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นเรื่องสมมติ[48] เขาเริ่มต้นด้วยความคิดริเริ่มและจัดตั้งสถาบันของโปแลนด์ในเมืองที่ถูกปลดปล่อยแล้ว ส่วนทางออสเตรียมองว่ากองกำลังของเขาเป็นเพียงหน่วยสำรวจหรือกำลังสนับสนุนหลักของออสเตรียเท่านั้น[49] เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม ค.ศ. 1914 กองกำลังของปิวซุตสกีเข้ายึดเมืองกีแยลต์แซที่อยู่ในเขตผู้ว่าการกีแยลต์แซ แต่ปิวซุตสกีพบว่าผู้อยู่อาศัยในเมืองให้การสนับสนุนน้อยกว่าที่เขาคาดไว้[50]

เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม ค.ศ. 1914 ปิวซุตสกีจัดตั้งหน่วยทหารโปแลนด์ภายในกองทัพออสเตรีย-ฮังการี[51] และเข้าบัญชาการกองพลน้อยที่หนึ่ง[6] ซึ่งเขาได้นำพาชัยชนะมาสู่การต่อสู้อยู่หลายครั้ง[14] ทั้งนี้ ปิวซุตสกียังแอบแจ้งรัฐบาลอังกฤษในฤดูใบไม้ร่วงของ ค.ศ. 1914 ว่ากองทหารของเขาจะไม่มีวันต่อสู้กับฝรั่งเศสหรืออังกฤษ มีเพียงรัสเซียเท่านั้น[47]

Piłsudski decreed that Legions' personnel were to be addressed by the French Revolution-inspired "Citizen" (Obywatel), and he was referred to as "the Commandant" ("Komendant").[52] Piłsudski enjoyed extreme respect and loyalty from his men, which would remain for years to come.[52] The Polish Legions fought against Russia, at the side of the Central Powers, until 1917.[53]

In August 1914 Piłsudski had set up the Polish Military Organisation (Polska Organizacja Wojskowa), which served as a precursor Polish intelligence agency and was designed to perform espionage and sabotage missions.[14][47][54]

A painting of a man looking to the left
ภาพเหมือนนายพลจัตวายูแซฟ ปิวซุตสกี โดยJacek Malczewski ใน ค.ศ. 1916

In mid-1916, after the Battle of Kostiuchnówka, in which the Polish Legions delayed a Russian offensive at a cost of over 2,000 casualties,[55] Piłsudski demanded that the Central Powers issue a guarantee of independence for Poland. He supported that demand with his own proffered resignation and that of many of the Legions' officers.[56] On 5 November 1916 the Central Powers proclaimed the independence of Poland, hoping to increase the number of Polish troops that could be sent to the Eastern Front against Russia, thereby relieving German forces to bolster the Western Front.[42][57]

Piłsudski agreed to serve in the Regency Kingdom of Poland, created by the Central Powers, and acted as minister of war in the newly formed Polish Regency government; as such, he was responsible for the Polnische Wehrmacht.[52] After the Russian Revolution in early 1917, and in view of the worsening situation of the Central Powers, Piłsudski took an increasingly uncompromising stance by insisting that his men no longer be treated as "German colonial troops" and be only used to fight Russia. Anticipating the Central Powers' defeat in the war, he did not wish to be allied with the losing side.[58][59]

A black-and-white photograph of several men grouped together and looking forward
Piłsudski with leadership of Polish Military Organisation, 1917

In the aftermath of a July 1917 "oath crisis", when Piłsudski forbade Polish soldiers to swear loyalty to the Central Powers, he was arrested and imprisoned at Magdeburg. The Polish units were disbanded and the men were incorporated into the Austro-Hungarian Army,[6][47] while the Polish Military Organization began attacking German targets.[14] Piłsudski's arrest greatly enhanced his reputation among Poles, many of whom began to see him as a leader willing to take on all the partitioning powers.[14]

On 8 November 1918, three days before the Armistice, Piłsudski and his colleague, Colonel Kazimierz Sosnkowski, were released by the Germans from Magdeburg and soon placed on a train bound for the Polish capital, Warsaw – the collapsing Germans hoping that Piłsudski would create a force friendly to them.[47]

การสร้างโปแลนด์ใหม่

[แก้]

ประมุขแห่งรัฐ

[แก้]
ดูที่คำอธิบาย
อูลิตซา มอกอตอฟสกา (Ulica Mokotowska) 50 กรุงวอร์ซอ ที่ซึ่งปิวซุตสกีเคยอาศัยอยุ่ในวันที่ 13–29 พฤศจิกายน ค.ศ. 1918 หลังจากที่เขาได้รับการปล่อยตัวออกจากเรือนจำในมัคเดอบวร์ค
ผู้ชายกำลังยื่นอยู่หน้ารถหุ้มเกราะ
รถหุ้มเกราะชั่วคราวปิวซุตสกี ใน ค.ศ. 1919 ซึ่งตั้งชื่อตามปิวซุตสกี

เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน ค.ศ. 1918 คณะผู้สำเร็จราชการได้แต่งตั้งปิวซุตสกีเป็นผู้บัญชาการทหารกองทัพโปแลนด์ และได้รับมอบหมายให้จัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติสำหรับประเทศเอกราชใหม่ โดยในเวลาต่อมา วันนี้จึงถูกกำหนดให้เป็นวันเอกราชชาติ ซึ่งเป็นวันที่เขาได้ประกาศเอกราชให้แก่รัฐโปแลนด์[47] ในสัปดาห์เดียวกัน ปิวซุตสกีได้เจรจาในการถอนกำลังพลของกองทหารรักษาการณ์เยอรมันออกจากวอร์ซอและกำลังทหารอื่น ๆ จากโอเบอร์อ็อสท์ ทหารเยอรมันราว 55,000 นาย ถอนกำลังออกจากโปแลนด์อย่างสงบ พร้อมทั้งทิ้งอาวุธจำนวนมากให้แก่ชาวโปแลนด์ ซึ่งในเวลาเพียงไม่กี่เดือน มีทหารเยอรมันที่ถอยทัพออกจากโปแลนด์รวมแล้วกว่า 400,000 นาย[47][60]

ในวันที่ 14 พฤศจิกายน ค.ศ. 1918 ปิวซุตสกีถูกร้องขอให้ดูแลการบริหารประเทศเป็นการชั่วคราว ต่อมาเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน เขาจึงได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการจากรัฐบาลใหม่ของแยนด์แชย์ มอรัตแชฟสกี ในตำแหน่งประมุขแห่งรัฐชั่วคราว (Tymczasowy Naczelnik Państwa) ของประเทศโปแลนด์เกิดใหม่[6] หลากหลายองค์กรทางทหารของโปแลนด์และรัฐบาลชั่วคราว (เช่น คณะผู้สำเร็จราชการในวอร์ซอ, รัฐบาลของอิกนัตซือ ดาชึญสกีในลูบลิน, และคณะกรรมการชำระล้างโปแลนด์ในกรากุฟ) ต่างให้การสนับสนุนปิวซุตสกี เขาได้จัดตั้งรัฐบาลผสมที่มีฝ่ายสังคมนิยมเป็นส่วนใหญ่ และริเริ่มการปฏิรูปจำนวนมากที่พรรคสังคมนิยมโปแลนด์เคยได้ประกาศว่าจำเป็นมาอย่างยาวนาน เช่น การทำงานแปดชั่วโมงต่อวัน การศึกษาโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และสิทธิเลือกตั้งของสตรี เป็นต้น เพื่อหลีกเลี่ยงการก่อความไม่สงบครั้งใหญ่ ในฐานะประมุขแห่งรัฐ ปิวซุตสกีเชื่อว่าตนเองต้องแยกตัวออกจากการเมืองแบบพลพรรค[14][47]

The day after his arrival in Warsaw, he met with old colleagues from his time working with the underground resistance, who addressed him socialist-style as "Comrade" (Towarzysz) and asked for his support for their revolutionary policies. He refused it and supposedly answered:

"Comrades, I took the red tram of socialism to the stop called Independence, and that's where I got off. You may keep on to the final stop if you wish, but from now on let's address each other as 'Mister' [rather than continue using the socialist term of address, 'Comrade']!"[6]

However, the authenticity of this quote is disputed.[61][62] Piłsudski declined to support any party and did not form any political organization of his own; instead, he advocated creating a coalition government.[14][63]

นโยบายช่วงแรก

[แก้]

Piłsudski set about organizing a Polish army out of Polish veterans of the German, Russian, and Austrian armies. Much of former Russian Poland had been destroyed in the war, and systematic looting by the Germans had reduced the region's wealth by at least 10%.[64] A British diplomat who visited Warsaw in January 1919 reported: "I have nowhere seen anything like the evidence of extreme poverty and wretchedness that meet one's eye at almost every turn."[64] In addition, the country had to unify the disparate systems of law, economics, and administration in the former German, Austrian, and Russian sectors of Poland. There were nine legal systems, five currencies, and 66 types of rail systems (with 165 models of locomotives), each needing to be consolidated.[64]

see caption
Statue of Piłsudski in front of Warsaw's Belweder Palace, Piłsudski's official residence during his years in power

Biographer Wacław Jędrzejewicz described Piłsudski as very deliberate in his decision-making: Piłsudski collected all available pertinent information, then took his time weighing it before arriving at a final decision. He held long working hours, and maintained a simple lifestyle, eating plain meals alone at an inexpensive restaurant.[64] Though he was popular with much of the Polish public, his reputation as a loner (the result of many years' underground work) and as a man who distrusted almost everyone led to strained relations with other Polish politicians.[24]

Piłsudski and the first Polish government were distrusted in the West because he had co-operated with the Central Powers from 1914 to 1917 and because the governments of Daszyński and Moraczewski were primarily socialist.[47] It was not until January 1919, when pianist and composer Ignacy Jan Paderewski became Prime Minister of Poland and foreign minister of a new government, that Poland was recognized in the West.[47] Two separate governments were claiming to be Poland's legitimate government: Piłsudski's in Warsaw and Dmowski's in Paris.[64] To ensure that Poland had a single government and to avert civil war, Paderewski met with Dmowski and Piłsudski and persuaded them to join forces, with Piłsudski acting as Provisional Chief of State and Commander-in-Chief, while Dmowski and Paderewski represented Poland at the Paris Peace Conference.[65] Articles 87–93 of the Treaty of Versailles[66] and the Little Treaty of Versailles, signed on 28 June 1919, formally established Poland as an independent and sovereign state in the international arena.[67]

Piłsudski often clashed with Dmowski for viewing the Poles as the dominant nationality in renascent Poland, and attempting to send the Blue Army to Poland through Danzig, Germany (now Gdańsk, Poland).[68][69] On 5 January 1919, some of Dmowski's supporters (Marian Januszajtis-Żegota and Eustachy Sapieha) attempted a coup against Piłsudski but failed.[70] On 20 February 1919, Polish parliament (the Sejm) confirmed his office when it passed the Little Constitution of 1919, although Piłsudski proclaimed his intention to eventually relinquish his powers to the parliament. "Provisional" was struck from his title, and Piłsudski held the office of the Chief of State until 9 December 1922, after Gabriel Narutowicz was elected as the first president of Poland.[6]

Piłsudski's major foreign policy initiative was a proposed federation (to be called "Międzymorze" (Polish for "Between-Seas"), and known from the Latin as Intermarium, stretching from the Baltic Sea to the Black Sea. In addition to Poland and Lithuania, it was to consist of Ukraine, Belarus, Latvia and Estonia,[47] somewhat in emulation of the pre-partition Polish–Lithuanian Commonwealth.[14][71] Piłsudski's plan met with opposition from most of the prospective member states, which refused to relinquish their independence, as well as the Allied powers, who thought it to be too bold a change to the existing balance-of-power structure.[72] According to historian George Sanford, it was around 1920 that Piłsudski came to realize the infeasibility of that version of his Intermarium project.[73] Instead of a Central and Eastern European alliance, there soon appeared a series of border conflicts, including the Polish–Ukrainian War (1918–19), the Polish–Lithuanian War (1919–1920, culminating in Żeligowski's Mutiny), Polish–Czechoslovak border conflicts (beginning in 1918), and most notably the Polish–Soviet War (1919–21).[14] Winston Churchill commented, "The war of giants has ended; the wars of the pygmies have begun."[74]

สงครามโปแลนด์–โซเวียต

[แก้]
A crowd of men wearing military uniforms
Piłsudski in Poznań in 1919

In the aftermath of World War I, there was unrest on all Polish borders. Regarding Poland's future frontiers, Piłsudski said: "All that we can gain in the west depends on the Entente—on the extent to which it may wish to squeeze Germany." The situation was different in the east, of which Piłsudski said that "there are doors that open and close, and it depends on who forces them open and how far."[75] In the east, Polish forces clashed with Ukrainian forces in the Polish–Ukrainian War, and Piłsudski's first orders as Commander-in-Chief of the Polish Army, on 12 November 1918, were to provide support for the Polish struggle in Lviv.[76]

Piłsudski was aware that the Bolsheviks would not ally with an independent Poland and predicted that war with them was inevitable.[77] He viewed their advance west as a major problem, but he also considered the Bolsheviks less dangerous for Poland than their White opponents.[78] The "White Russians", representatives of the old Russian Empire, were willing to accept limited independence for Poland, probably within borders similar to those of the former Congress Poland. They objected to Polish control of Ukraine, which was crucial for Piłsudski's Intermarium project.[79] This contrasted with the Bolsheviks, who proclaimed the partitions of Poland null and void.[80] Piłsudski speculated that Poland would be better off with the Bolsheviks, alienated from the Western powers, than with a restored Russian Empire.[78][81] By ignoring the strong pressures from the Entente Cordiale to join the attack on Lenin's struggling Bolshevik government, Piłsudski probably saved it in the summer and the fall of 1919.[82]

The profile of a man in a military uniform
In March 1920, Piłsudski was made "First Marshal of Poland".

After the Soviet westward offensive of 1918–1919, and a series of escalating battles that resulted in the Poles advancing eastward, on 21 April 1920, Marshal Piłsudski (as his rank had been since March 1920) signed a military alliance called the Treaty of Warsaw with Ukrainian leader Symon Petliura. The treaty allowed both countries to conduct joint operations against Soviet Russia. The goal of the Polish-Ukrainian Treaty was to establish an independent Ukraine and independent Poland in alliance, resembling that once existing within Polish–Lithuanian Commonwealth.[83] The Polish and Ukrainian Armies under Piłsudski's command launched a successful offensive against the Russian forces in Ukraine and on 7 May 1920, with remarkably little fighting, they captured Kiev.[84]

The Bolshevik leadership framed the Polish actions as an invasion, successfully generating popular support for their cause at home.[85] The Soviets then launched a counter-offensive from Belarus, and counterattacked in Ukraine, advancing into Poland[84] in a drive toward Germany to encourage the Communist Party of Germany in their struggles for power.[86] The Soviets announced their plans to invade Western Europe; Soviet Communist theoretician Nikolai Bukharin, writing in Pravda, hoped for the resources to carry the campaign beyond Warsaw "straight to London and Paris".[87] Soviet commander Mikhail Tukhachevsky's order of the day for 2 July 1920 read: "To the West! Over the corpse of White Poland lies the road to worldwide conflagration. March upon Vilnius, Minsk, Warsaw!"[88] and "onward to Berlin over the corpse of Poland!"[47]

see caption
Piłsudski (left) and Edward Rydz-Śmigły, 1920, during Polish-Soviet War

On 1 July 1920, in view of the rapidly advancing Soviet offensive, Poland's parliament, the Sejm, formed a Council for Defense of the Nation, chaired by Piłsudski, to provide expeditious decision-making as a temporary supplanting of the fractious Sejm.[89] The National Democrats contended that the string of Bolshevik victories had been Piłsudski's fault[90] and demanded that he resign; some even accused him of treason.[91] On 19 July they failed to carry a vote of no-confidence in the council and this led to Dmowski's withdrawal from the council.[91] On 12 August, Piłsudski tendered his resignation to Prime Minister Wincenty Witos, offering to be the scapegoat if the military solution failed, but Witos refused to accept his resignation.[91] The Entente pressured Poland to surrender and enter into negotiations with the Bolsheviks. Piłsudski, however, was a staunch advocate of continuing the fight.[91]

"ปาฏิหาริย์แห่งแม่น้ำวิสวา"

[แก้]

Piłsudski's plan called for Polish forces to withdraw across the Vistula River and to defend the bridgeheads at Warsaw and on the Wieprz River while some 25% of the available divisions concentrated to the south for a counteroffensive. Afterwards, two armies under General Józef Haller, facing Soviet frontal attack on Warsaw from the east, were to hold their entrenched positions while an army under General Władysław Sikorski was to strike north from outside Warsaw, cutting off Soviet forces that sought to envelop the Polish capital from that direction. The most important role of the plan was assigned to a relatively small, approximately 20,000-man, newly assembled "Reserve Army" (also known as the "Strike Group", "Grupa Uderzeniowa"), comprising the most determined, battle-hardened Polish units that were commanded by Piłsudski. Their task was to spearhead a lightning northward offensive, from the Vistula-Wieprz triangle south of Warsaw, through a weak spot that had been identified by Polish intelligence between the Soviet Western and Southwestern Fronts. That offensive would separate the Soviet Western Front from its reserves and disorganize its movements. Eventually, the gap between Sikorski's army and the "Strike Group" would close near the East Prussian border, bringing about the destruction of the encircled Soviet forces.[92][93]

Piłsudski's plan was criticized as "amateurish" by high-ranking army officers and military experts, quick to point out Piłsudski's lack of formal military education. However, the desperate situation of the Polish forces persuaded other commanders to support it. When a copy of the plan was acquired by the Soviets, Western Front commander Mikhail Tukhachevsky thought it was a ruse and disregarded it.[94] Days later, the Soviets were defeated in the Battle of Warsaw, halting the Soviet advance in one of the worst defeats for the Red Army.[84][93] Stanisław Stroński, a National Democrat Sejm deputy, coined the phrase "Miracle at the Vistula" (Cud nad Wisłą)[95] to express his disapproval of Piłsudski's "Ukrainian adventure". Stroński's phrase was adopted as praise for Piłsudski by some patriotically- or piously minded Poles, who were unaware of Stroński's ironic intent.[93][96]

While Piłsudski had a major role in crafting the war strategy, he was aided by others, notably Tadeusz Rozwadowski.[97] Later, some supporters of Piłsudski would seek to portray him as the sole author of the Polish strategy, while his opponents would try to minimize his role.[98] On the other hand, in the West, the role of General Maxime Weygand of the French Military Mission to Poland was, for a time, exaggerated.[47][98][99]

In February 1921, Piłsudski visited Paris, where, in negotiations with French President Alexandre Millerand, he laid the foundations for the Franco-Polish alliance, which would be signed later that year.[100] The Treaty of Riga, ending the Polish-Soviet War in March 1921, partitioned Belarus and Ukraine between Poland and Russia. Piłsudski called the treaty an "act of cowardice".[101] The treaty and his secret approval of General Lucjan Żeligowski's capture of Vilnius from the Lithuanians marked an end to this incarnation of Piłsudski's federalist Intermarium plan.[14] After Vilnius was occupied by the Central Lithuanian Army, Piłsudski said that he "could not help but regard them [Lithuanians] as brothers".[102] In parliament, Piłsudski once said: "I cannot not reach out to Kaunas. .. I cannot disregard those brothers who consider the day of our triumph a day of shock and mourning."[103] On 25 September 1921, when Piłsudski visited Lwów (now Lviv) for the opening of the first Eastern Trade Fair (Targi Wschodnie), he was the target of an unsuccessful assassination attempt by Stepan Fedak, acting on behalf of Ukrainian-independence organizations, including the Ukrainian Military Organization.[104]

การเกษียณและรัฐประหาร

[แก้]
see caption
At Belweder Palace, Piłsudski (left) transfers his powers to President-elect Narutowicz.
A crowd of men dressed in tuxedoes and military uniforms
At Warsaw's Hotel Bristol, 3 July 1923, Piłsudski announces his retirement from active politics.

The Polish Constitution of March 1921 severely limited the powers of the presidency intentionally, to prevent Piłsudski from waging war. This caused Piłsudski to decline to run for the office.[14] On 9 December 1922, the Polish National Assembly elected Gabriel Narutowicz of Polish People's Party "Wyzwolenie"; his election, opposed by the right-wing parties, caused public unrest.[105] On 14 December at the Belweder Palace, Piłsudski officially transferred his powers as Chief of State to his friend Narutowicz; the Naczelnik was replaced by the President.[106][42]

see caption
Piłsudski on Warsaw's Poniatowski Bridge during May 1926 coup. At right is General Gustaw Orlicz-Dreszer.

Two days later, on 16 December 1922, Narutowicz was shot dead by a right-wing painter and art critic, Eligiusz Niewiadomski, who had originally wanted to kill Piłsudski but had changed his target, influenced by National Democrat anti-Narutowicz propaganda.[107] For Piłsudski, that was a major shock; he started to doubt that Poland could function as a democracy[108] and supported a government led by a strong leader.[109] He became Chief of the General Staff and, together with Minister of Military Affairs Władysław Sikorski, quelled the unrest by instituting a state of emergency.[110]

Stanisław Wojciechowski of Polish People's Party "Piast" (PSL Piast), another of Piłsudski's old colleagues, was elected the new president, and Wincenty Witos, also of PSL Piast, became prime minister. The new government, an alliance among the centrist PSL Piast, the right-wing Popular National Union and Christian Democrat parties, contained right-wing enemies of Piłsudski. He held them responsible for Narutowicz's death and declared that it was impossible to work with them.[111] On 30 May 1923, Piłsudski resigned as Chief of the General Staff.[112]

Piłsudski criticized General Stanisław Szeptycki's proposal that the military should be supervised by civilians as an attempt to politicize the army, and on 28 June, he resigned his last political appointment. The same day, the Sejm's left-wing deputies voted for a resolution, thanking him for his work.[112] Piłsudski went into retirement in Sulejówek, outside Warsaw, at his country manor, "Milusin", presented to him by his former soldiers.[113] There, he wrote a series of political and military memoirs, including Rok 1920 (The Year 1920).[6]

Meanwhile, Poland's economy was a shambles. Hyperinflation fueled public unrest, and the government was unable to find a quick solution to the mounting unemployment and economic crisis.[114] Piłsudski's allies and supporters repeatedly asked him to return to politics, and he began to create a new power base, centred on former members of the Polish Legions, the Polish Military Organization and some left-wing and intelligentsia parties. In 1925, after several governments had resigned in short order and the political scene was becoming increasingly chaotic, Piłsudski became more and more critical of the government and eventually issued statements demanding the resignation of the Witos cabinet.[6][14] When the Chjeno-Piast coalition, which Piłsudski had strongly criticized, formed a new government,[14] on 12–14 May 1926, Piłsudski returned to power in the May Coup, supported by the Polish Socialist Party, Liberation, the Peasant Party, and the Communist Party of Poland.[115] Piłsudski had hoped for a bloodless coup but the government had refused to surrender;[116] 215 soldiers and 164 civilians had been killed, and over 900 persons had been wounded.[117]

บทบาทในรัฐบาล

[แก้]
see caption
Belweder Palace, Warsaw, Piłsudski's official residence during his years in power

On 31 May 1926, the Sejm elected Piłsudski president of the Republic, but Piłsudski refused the office due to the presidency's limited powers. Another of his old friends, Ignacy Mościcki, was elected in his stead. Mościcki then appointed Piłsudski as Minister of Military Affairs (defence minister), a post he held for the rest of his life through eleven successive governments, two of which he headed from 1926 to 1928 and for a brief period in 1930. He also served as General Inspector of the Armed Forces and Chairman of The War Council.[6]

Piłsudski had no plans for major reforms; he quickly distanced himself from the most radical of his left-wing supporters and declared that his coup was to be a "revolution without revolutionary consequences".[14] His goals were to stabilize the country, reduce the influence of political parties (which he blamed for corruption and inefficiency) and strengthen the army.[14][118] His role in the Polish government over the subsequent years has been called a dictatorship or a "quasi-dictatorship".[119]

การเมืองภายในประเทศ

[แก้]

Piłsudski's coup entailed sweeping limitations on parliamentary government, as his Sanation regime (1926–1939), at times employing authoritarian methods, sought to curb perceived corruption and incompetence of the parliament rule, and in Piłsudski's words, restore "moral health" to public life (hence the name of his faction, "Sanation", which could be understood as "moral purification").[120] From 1928, the Sanation authorities were represented by the Non-partisan Bloc for Cooperation with the Government (BBWR). Popular support and an effective propaganda apparatus allowed Piłsudski to maintain his authoritarian powers, which could not be overruled either by the president, who was appointed by Piłsudski, or by the Sejm.[6] The powers of the Sejm were curtailed by constitutional amendments that were introduced soon after the coup, on 2 August 1926.[6] From 1926 to 1930, Piłsudski relied chiefly on propaganda to weaken the influence of opposition leaders.[14]

The culmination of his dictatorial and supralegal policies came in the 1930s, with the imprisonment and trial of political opponents (the Brest trials) on the eve of the 1930 Polish legislative election and with the 1934 establishment of the Bereza Kartuska Detention Camp for political prisoners in present-day Biaroza,[14] where some prisoners were brutally mistreated.[121] After the BBWR's 1930 victory, Piłsudski allowed most internal matters to be decided by his colonels while he concentrated on military and foreign affairs.[14] His treatment of political opponents and their 1930 arrest and imprisonment was internationally condemned and the events damaged Poland's reputation.[57]

A man, a woman, and a child are on the left, posed to face the camera. To the right is a girl, drawing
Piłsudski, second wife Aleksandra, daughters, 1928

Piłsudski became increasingly disillusioned with democracy in Poland.[122] His intemperate public utterances (he called the Sejm a "prostitute") and his sending of 90 armed officers into the Sejm building in response to an impending vote of no-confidence caused concern in contemporary and modern observers who have seen his actions as setting precedents for authoritarian responses to political challenges.[123][124][125] He sought to transform the parliamentary system into a presidential system; however, he opposed the introduction of totalitarianism.[14] The adoption of a new Polish constitution in April 1935 was tailored by Piłsudski's supporters to his specifications, providing for a strong presidency; but the April Constitution served Poland until World War II, and carried its Government in Exile until the end of the war and beyond. Piłsudski's government depended more on his charismatic authority than on rational-legal authority.[14] None of his followers could claim to be his legitimate heir, and after his death the Sanation structure would quickly fracture, returning Poland to the pre-Piłsudski era of parliamentary political contention.[14]

A man is standing, facing a staircase
In 1933 Piłsudski pays homage at tomb of King John III Sobieski, commemorating 250th anniversary of victorious Battle of Vienna.

Piłsudski's regime began a period of national stabilization and of improvement in the situation of ethnic minorities, which formed about a third of the Second Republic's population.[126][127] Piłsudski replaced the National Democrats' "ethnic-assimilation" with a "state-assimilation" policy: citizens were judged not by their ethnicity but by their loyalty to the state.[128][129] Widely recognized for his opposition to the National Democrats' anti-Semitic policies,[130][131][132][133][134][135] he extended his policy of "state-assimilation" to Polish Jews.[128][129][136][137] The years 1926 to 1935 and Piłsudski himself were favorably viewed by many Polish Jews whose situation improved especially under Piłsudski-appointed Prime Minister Kazimierz Bartel.[138][139] Many Jews saw Piłsudski as their only hope for restraining antisemitic currents in Poland and for maintaining public order; he was seen as a guarantor of stability and a friend of the Jewish people, who voted for him and actively participated in his political bloc.[140] Piłsudski's death in 1935 brought a deterioration in the quality of life of Poland's Jews.[135]

During the 1930s, a combination of developments, from the Great Depression[128] to the vicious spiral of OUN terrorist attacks and government pacifications, caused government relations with the national minorities to deteriorate.[128][141] Unrest among national minorities was also related to foreign policy. Troubles followed repressions in the largely-Ukrainian eastern Galicia, where nearly 1,800 persons were arrested. Tension also arose between the government and Poland's German minority, particularly in Upper Silesia. The government did not yield to calls for antisemitic measures, but the Jews (8.6% of Poland's population) grew discontented for economic reasons that were connected with the Depression. By the end of Piłsudski's life, his government's relations with national minorities were increasingly problematic.[142]

In the military sphere, Piłsudski was praised for his plan at the Battle of Warsaw in 1920, but was criticized for subsequently concentrating on personnel management and neglecting modernization of military strategy and equipment.[14][143] According to his detractors, his experiences in World War I and the Polish-Soviet War led him to over-estimate the importance of cavalry, and to neglect the development of armor and air forces.[143] His supporters, on the other hand, contend that, particularly from the late 1920s, he supported the development of these military branches.[144] Modern historians concluded that the limitations on Poland's military modernization in this period was less doctrinal than financial.[145]

นโยบายระหว่างประเทศ

[แก้]
Four men are posed, facing the camera
German ambassador, Hans-Adolf von Moltke, Piłsudski, Joseph Goebbels and Józef Beck, Polish Foreign minister, in Warsaw on 15 June 1934, five months after the German–Polish Non-Aggression Pact

Piłsudski sought to maintain his country's independence in the international arena. Assisted by his protégé, Foreign Minister Józef Beck, he sought support for Poland in alliances with western powers, such as France and Britain, and with friendly neighbors such as Romania and Hungary.[146] A supporter of the Franco-Polish Military Alliance and the Polish–Romanian alliance, part of the Little Entente, Piłsudski was disappointed by the policy of appeasement pursued by the French and British governments, evident in their signing of the Locarno Treaties.[147][148][149] The Locarno treaties were intended by the British government to ensure a peaceful handover the territories claimed by Germany such as the Sudetenland, the Polish Corridor, and the Free City of Danzig (modern Gdańsk, Poland) by improving Franco-German relations to such extent that France would dissolve its alliances in eastern Europe.[150] Piłsudski aimed to maintain good relations with the Soviet Union and Germany,[147][148][149] and relations with Germany and the Soviet Union during Piłsudski's tenure could, for the most part, be described as neutral.[147][151] Under Piłsudski, Poland maintained good relations with neighboring Romania, Hungary and Latvia, but were strained with Czechoslovakia, and worse with Lithuania.[152]

A recurring fear of Piłsudski was that France would reach an agreement with Germany at the expense of Poland. In 1929, the French agreed to pull out of the Rhineland in 1930, five years earlier than what the Treaty of Versailles called. The same year, the French announced plans for the Maginot Line along the border with Germany, and construction of the Maginot line began in 1930. The Maginot line was a tacit French admission that Germany would be rearming beyond the limits set by the Treaty of Versailles in the near-future and that France intended to pursue a defensive strategy.[153] At the time Poland signed the alliance with France in 1921, the French were occupying the Rhineland and Polish plans for a possible war with Reich were based on the assumption of a French offensive into the north German plain from their bases in the Rhineland. The French pullout from the Rhineland and a shift to a defensive strategy as epitomized by the Magniot line completely upset the entire basis of Polish foreign and defense policy.[154]

In June 1932, just before the Lausanne Conference opened, Piłsudski heard reports that the new German chancellor Franz von Papen was about to make an offer for a Franco-German alliance to the French Premier Édouard Herriot which would be at the expense of Poland.[155] In response, Piłsudski sent the destroyer ORP Wicher into the harbour of Danzig.[155] Though the issue was ostensibly about access rights for the Polish Navy in Danzig, the real purpose of sending Wircher was as a way to warn Herriot not to disadvantage Poland in a deal with Papen.[155] The ensuring Danzig crisis sent the desired message to the French and improved the Polish Navy's access rights to Danzig.[155]

Poland signed the Soviet-Polish Non-Aggression Pact in 1932.[146] Critics of the pact state that it allowed Stalin to eliminate his socialist opponents, primarily in Ukraine. The pacts were supported by advocates of Piłsudski's Promethean programme.[156] After Adolf Hitler came to power in Germany in January 1933, Piłsudski is rumored to have proposed to France a preventive war against Germany.[157] Lack of French enthusiasm may have been a reason for Poland signing the German–Polish Non-Aggression Pact in 1934.[42][146][158][159] Little evidence has, however, been found in French or Polish diplomatic archives that such a proposal for preventive war was ever actually advanced.[160] Critics of Poland's pact with Germany accused Piłsudski of underestimating Hitler's aggressiveness,[161] and giving Germany time to re-arm.[162][163] Hitler repeatedly suggested a German-Polish alliance against the Soviet Union, but Piłsudski declined, instead seeking precious time to prepare for a potential war with either Germany or the Soviet Union. Just before his death, Piłsudski told Józef Beck that it must be Poland's policy to maintain neutral relations with Germany, keep up the Polish alliance with France and improve relations with the United Kingdom.[146] The two non-aggression pacts were intended to strengthen Poland's position in the eyes of its allies and neighbors.[6] Piłsudski was probably aware of the weakness of the pacts, stating: "Having these pacts, we are straddling two stools. This cannot last long. We have to know from which stool we will tumble first, and when that will be".[164]

นโยบายเศรษฐกิจ

[แก้]

Despite coming from a socialist background and initially implementing socialist reforms, Piłsudski's regime followed the conservative free-market economic tradition of the Polish–Lithuanian Commonwealth throughout its existence. Poland had one of the lowest taxation rates in Europe, with 9.3% of taxes as a distribution of national income. Piłsudski's regime was also heavily dependent on foreign investments and economies, with 45.4% of Polish equity capital controlled by foreign corporations. After the Great Depression, the Polish economy crumbled and failed to recover until Ignacy Mościcki's government introduced economic reforms with more government interventions with an increase in tax revenues and public spending after Piłsudski's death. These interventionist policies saw Poland's economy recover from the recession until the USSR and the German invasion of Poland in 1939.[165]

มุมมองทางศาสนา

[แก้]

Piłsudski's religious views are a matter of debate. He was baptised Roman Catholic on 15 December 1867 in the church of Powiewiórka (then Sventsiany deanery). His godparents were Joseph and Constance Martsinkovsky Ragalskaya.[166] On 15 July 1899, at the village of Paproć Duża, near Łomża, he married Maria Juskiewicz, a divorcée. As the Catholic Church did not recognise divorces, she and Piłsudski had converted to Protestantism.[167] Pilsudski later returned to the Catholic Church to marry Aleksandra Szczerbińska. Piłsudski and Aleksandra could not get married as Piłsudski's wife Maria refused to divorce him. It was only after Maria's death in 1921 that they were married, on 25 October the same year.[168][169]

อสัญกรรม

[แก้]
Piłsudski, 1935

By 1935, unbeknown to the public, Piłsudski had for several years been in declining health. On 12 May 1935, he died of liver cancer at Warsaw's Belweder Palace. The celebration of his life began spontaneously within half an hour of the announcement of his death.[170] It was led by military personnel – former Legionnaires, members of the Polish Military Organization, veterans of the wars of 1919–21 – and by his political collaborators from his service as Chief of State, and later, Prime Minister and Inspector-General.[171]

The Communist Party of Poland immediately attacked Piłsudski as a fascist and capitalist,[171] though fascists themselves did not see him as one of them.[172] Other opponents of the Sanation regime were more civil; socialists (such as Ignacy Daszyński and Tomasz Arciszewski) and Christian Democrats (represented by Ignacy Paderewski, Stanisław Wojciechowski and Władysław Grabski) expressed condolences. The peasant parties split in their reactions (Wincenty Witos voicing criticism of Piłsudski, but Maciej Rataj and Stanisław Thugutt being supportive), while Roman Dmowski's National Democrats expressed a toned-down criticism.[171]

Silver 1935 10-złoty coin showing Piłsudski

Condolences were officially expressed by senior clergy, including Pope Pius XI and August Cardinal Hlond, Primate of Poland; the Pope called himself a "personal friend" of Piłsudski. Notable appreciation for Piłsudski was expressed by Poland's ethnic and religious minorities. Eastern Orthodox, Greek Orthodox, Protestant, Jewish, and Islamic organizations expressed condolences, praising Piłsudski for his policies of religious tolerance.[171] His death was a shock to members of the Jewish minority amongst which he was respected for his lack of prejudice and vocal opposition to the Endecja.[173][174] Mainstream organizations of ethnic minorities similarly expressed their support for his policies of ethnic tolerance, though he was still criticized by Ukrainian, German, Lithuanian activists and Jewish supporters of the General Jewish Labour Bund in Poland.[171] On the international scene, Pope Pius XI held a special ceremony on 18 May in the Holy See, a commemoration was conducted at League of Nations Geneva headquarters, and dozens of messages of condolence arrived in Poland from heads of state across the world, including Germany's Adolf Hitler, the Soviet Union's Joseph Stalin, Italy's Benito Mussolini and King Victor Emmanuel III, France's Albert Lebrun and Pierre-Étienne Flandin, Austria's Wilhelm Miklas, Japan's Emperor Hirohito, and Britain's King George V.[171] In Berlin, a service for Piłsudski was ordered by Adolf Hitler. This was the only time that Hitler attended a Holy Mass as a leader of the Third Reich and probably one of the last times when he was in a church.[175]

รัฐพิธีศพ

[แก้]
ขบวนพิธีศพในวันที่ 15 พฤษภาคม ค.ศ. 1935 บริเวณถนนกรากุฟสกีแย ปแซดมีแยชต์ซีแย (Krakowskie Przedmieście) กรุงวอร์ซอ

รัฐพิธีศพของปิวซุตสกีจัดขึ้นที่กรุงวอร์ซอและกรากุฟในระหว่างวันที่ 15-18 พฤษภาคม ค.ศ. 1935 โดยมีการจัดพิธีมิสซาและการเคลื่อนขบวนศพอย่างเป็นทางการในทั้งสองเมือง ขบวนรถไฟเคลื่อนศพได้เดินทางไปทั่วประเทศก่อนที่อัฐิของปิวซุตสกีจะถูกนำไปไว้ที่ปราสาทวาแวล[176] รวมถึงมีการออกโปสการ์ด สแตมป์ ตราประทับไปรษณีย์เพื่อระลึกถึงเหตุการณ์นี้ด้วย พิธีระดับชาตินี้ได้รับการเผยแพร่ในวงกว้างผ่านการรายงานข่าวของสื่อ และได้สะท้อนให้เห็นถีงลัทธิบูชาบุคคลของปิวซุตสกี ขบวนพิธีศพรอบสุดท้ายจัดขึ้นที่กรากุฟเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม โดยมีผู้เข้าร่วมราว 300,000 คน ตามการประมาณการ ซึ่งรวมถึงผู้แทนอย่างเป็นทางการจาก 16 ประเทศ จึงถือได้ว่าเป็นรัฐพิธีศพครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โปแลนด์[177] มีพิธีศพจัดขึ้นแยกต่างหากสำหรับสมองของเขา ซึ่งปิวซุตสกีประสงค์ให้เพื่อการศึกษาในมหาวิทยาลัยสแตฟัน บาตอรือ และหัวใจของเขาได้รับการฝังไว้ในหลุมศพของมารดาของเขาในสุสานที่เมืองวิลนีอัส[6][178]

ต่อมาเมื่อ ค.ศ. 1937 หลังจากที่อัฐิของปิวซุตสกีถูกจัดแสดงไว้ที่ห้องใต้ดินนักบุญเลโอนาร์ดในอาสนวิหารวาแวลที่เมืองกรากุฟเป็นเวลาสองปี จึงมีการย้ายอัฐิของเขามาไว้ที่ห้องใต้ดินของอาสนวิหารใต้ระฆังสีเงิน The decision, made by his long-standing adversary Adam Sapieha, then Archbishop of Krakow, incited widespread protests that included calls for Sapieha's removal, setting off a series of clashes between the representatives of the Polish Catholic Church and the Polish government in what has come to be known as "konflikt wawelski" ("Wawel conflict"). Despite heavy and protracted criticism, Sapieha never allowed Piłsudski's coffin to be transferred back to St. Leonard's Crypt.[179][180]

สิ่งสืบเนื่อง

[แก้]

On 13 May 1935, in accordance with Piłsudski's last wishes, Edward Rydz-Śmigły was named by Poland's president and government to be Inspector General of the Polish Armed Forces, and on 10 November 1936, he was elevated to Marshal of Poland.[182] As the Polish government became increasingly authoritarian and conservative, the Rydz-Śmigły faction was opposed by the more moderate Ignacy Mościcki, who remained President.[183] Although Rydz-Śmigły reconciled with the President in 1938, the ruling group remained divided into the "President's Men", mostly civilians (the "Castle Group", after the President's official residence, Warsaw's Royal Castle), and the "Marshal's Men" ("Piłsudski's colonels"), professional military officers and Piłsudski's old comrades-in-arms.[184] Some of this political division would continue in the Polish government-in-exile after the German invasion of Poland in 1939.[185][186]

Statue of Piłsudski on Warsaw's Piłsudski Square—one of many statuary tributes throughout Poland

After World War II, little of Piłsudski's political ideology influenced the policies of the Polish People's Republic, a de facto satellite of the Soviet Union.[187] For a decade after World War II, Piłsudski was either ignored or condemned by Poland's Communist government, along with the entire interwar Second Polish Republic. This began to change after de-Stalinization and the Polish October in 1956, and historiography in Poland gradually moved away from a purely negative view of Piłsudski toward a more balanced and neutral assessment.[188] After the 1991 dissolution of the Soviet Union, Piłsudski once again came to be publicly acknowledged as a Polish national hero.[189] On the sixtieth anniversary of his death on 12 May 1995, Poland's Sejm adopted a resolution:

"Józef Piłsudski will remain, in our nation's memory, the founder of its independence and the victorious leader who fended off a foreign assault that threatened the whole of Europe and its civilization. Józef Piłsudski served his country well and has entered our history forever."[190]

Piłsudski continues to be viewed by most Poles as a providential figure in the country's 20th-century history.[191][192]

ไฟล์:Pilsudski carricature by Szwajcer.PNG
Contemporary caricature of Józef Piłsudski by Jerzy Szwajcer

Several military units have been named for Piłsudski, including the 1st Legions Infantry Division, armoured train No. 51 ("I Marszałek"—"the First Marshal"),[193] and the Romanian 634th Infantry Battalion.[194] Also named for Piłsudski have been Piłsudski's Mound, one of four-man-made mounds in Kraków;[195] the Józef Piłsudski Institute of America, a New York City research center and museum on the modern history of Poland;[196] the Józef Piłsudski University of Physical Education in Warsaw;[197] a passenger ship, เอ็มเอส Piłsudski; a gunboat, แม่แบบ:ORP; and a racehorse, Pilsudski. Many Polish cities have their own "Piłsudski Street".[198] There are statues of Piłsudski in many Polish cities; Warsaw, which has three in little more than a mile between the Belweder Palace, Piłsudski's residence, and Piłsudski Square.[198] In 2020, Piłsudski's manor house in Sulejówek opened as a museum as part of the celebrations of the one hundredth anniversary of the Battle of Warsaw.[199]

Piłsudski has been a character in numerous works of fiction, a trend already visible during his lifetime,[200] including the 1922 novel Generał Barcz (General Barcz) by Juliusz Kaden-Bandrowski.[201] Later works in which he is featured include the 2007 novel Ice (Lód) by Jacek Dukaj.[202] Poland's National Library lists over 500 publications related to Piłsudski;[203] the U.S. Library of Congress, over 300.[204] Piłsudski's life was the subject of a 2001 Polish television documentary, Marszałek Piłsudski, directed by Andrzej Trzos-Rastawiecki.[205] He was also the subject of paintings by artists such as Jacek Malczewski (1916) and Wojciech Kossak (leaning on his sword, 1928; and astride his horse, Kasztanka, 1928), as well as photos and caricatures.[206][207] He has been reported to be quite fond of the latter.[208]

ทายาท

[แก้]

บุตรสาวทั้งสองคนของนายพลปิวซุตสกีเดินทางกลับสู่โปแลนด์ใน ค.ศ. 1990 หลังจากการปฏิวัติ ค.ศ. 1989 และการล่มสลายของระบอบคอมมิวนิสต์ ส่วนยออันนา ยารัตแซฟสกา (Joanna Jaraczewska) บุตรสาวของยัดวีกา ปิวซุตสกา (Jadwiga Piłsudska) ได้กลับประเทศบ้านเกิดของตนใน ค.ศ. 1979 เธอได้แต่งงานกับยานุช ออนึชกีแยวิตช์ (Janusz Onyszkiewicz) นักเคลื่อนไหวโซลิดาริตีในเรือนจำคุมขังนักโทษการเมืองเมื่อ ค.ศ. 1983 โดยทั้งสองมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างมากในขบวนการโซลิดาริตีตั้งแต่ช่วง ค.ศ. 1979 ถึง ค.ศ. 1989[209]

Honours

[แก้]

Piłsudski was awarded numerous honours, domestic and foreign.

See also

[แก้]

Notes

[แก้]

a. ^ Józef Klemens Piłsudski was commonly referred to without his middle name, as "Józef Piłsudski". A few English sources translate his first name as "Joseph", but this is not the common practice. As a young man, he belonged to underground organizations and used various pseudonyms, including "Wiktor", "Mieczysław" and "Ziuk" (the latter also being his family nickname). Later he was often affectionately called "Dziadek" ("Grandpa" or "the Old Man") and "Marszałek" ("the Marshal"). His ex-soldiers from the Legions also referred to him as "Komendant" ("the Commandant").

b. ^ Piłsudski sometimes spoke of being a Lithuanian of Polish culture.[210] For several centuries, declaring both Lithuanian and Polish identity was commonplace, but around the turn of the last century it became much rarer in the wake of arising modern nationalisms. Timothy Snyder, who calls him a "Polish-Lithuanian", notes that Piłsudski did not think in terms of 20th-century nationalisms and ethnicities; he considered himself both a Pole and a Lithuanian, and his homeland was the historic Polish–Lithuanian Commonwealth.[102]

c. ^ Polish Socialist Party – Revolutionary Faction from 1906 to 1909

References

[แก้]
  1. Hetherington 2012, p. 92.
  2. Bianchini, Stefano (2017-09-29). Liquid Nationalism and State Partitions in Europe (ภาษาอังกฤษ). Edward Elgar Publishing. p. 30. ISBN 978-1-78643-661-0.
  3. Jędrzejewicz 1990, p. 3.
  4. Hetherington 2012, p. 95.
  5. 5.0 5.1 5.2 5.3 5.4 Pidlutskyi 2004.
  6. 6.00 6.01 6.02 6.03 6.04 6.05 6.06 6.07 6.08 6.09 6.10 6.11 6.12 6.13 6.14 6.15 6.16 6.17 6.18 6.19 6.20 6.21 6.22 "History – Józef Piłsudski (1867–1935)". Poland.gov. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 13 February 2006. สืบค้นเมื่อ 23 April 2006.
  7. Urbankowski 1997, vol. 1, pp. 13–15.
  8. Lerski 1996, p. 439.
  9. Davies 2005, p. 40.
  10. Bideleux & Jeffries 1998, p. 186.
  11. Reddaway, William Fiddian (1939). Marshal Pilsudski (ภาษาอังกฤษ). Routledge. p. 5.
  12. Roshwald 2001, p. 36.
  13. 13.0 13.1 MacMillan 2003, p. 208.
  14. 14.00 14.01 14.02 14.03 14.04 14.05 14.06 14.07 14.08 14.09 14.10 14.11 14.12 14.13 14.14 14.15 14.16 14.17 14.18 14.19 14.20 14.21 14.22 14.23 14.24 14.25 14.26 Chojnowski, Andrzej. "Piłsudski Józef Klemens". Internetowa encyklopedia PWN (ภาษาโปแลนด์). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 May 2008. สืบค้นเมื่อ 15 January 2008.
  15. "Bronisław Piotr Piłsudski – Calendar of events". ICRAP. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 21 September 2021. สืบค้นเมื่อ 2 March 2018.
  16. 16.0 16.1 Urbankowski 1997, vol. 1, p. 50.
  17. Landau, Rom; Dunlop, Geoffrey (1930). Pilsudski, Hero of Poland. Jarrolds. pp. 30–32.
  18. Urbankowski 1997, vol. 1, pp. 62–66.
  19. Urbankowski 1997, vol. 1, pp. 68–69.
  20. Urbankowski 1997, vol. 1, pp. 74–77.
  21. Jędrzejewicz & Cisek 1994, p. 13.
  22. Urbankowski 1997, vol. 1, p. 71.
  23. Urbankowski 1997, vol. 1, p. 88.
  24. 24.0 24.1 24.2 MacMillan 2003, p. 209.
  25. Urbankowski 1997, vol. 1, p. 93.
  26. Piłsudski 1989, p. 12.
  27. Alabrudzińska 1999, p. 99.
  28. Garlicki 1995, p. 63.
  29. Pobóg-Malinowski 1990, p. 7.
  30. Jędrzejewicz 1990, pp. 27–8 (1982 ed.).
  31. Drążek, Aleksandra (8 August 2021). "Córki Piłsudskiego - co wiemy o losach córek marszałka". kronikidziejow.pl. สืบค้นเมื่อ 6 September 2021.
  32. 32.0 32.1 32.2 Urbankowski 1997, vol. 1, pp. 109–111.
  33. Charaszkiewicz 2000, p. 56.
  34. Kowner 2006, p. 285.
  35. 35.0 35.1 35.2 35.3 35.4 35.5 35.6 Zamoyski 1987, p. 330.
  36. Urbankowski 1997, vol. 1, pp. 113–116.
  37. Urbankowski 1997, vol. 1, pp. 117–118.
  38. 38.0 38.1 38.2 38.3 38.4 38.5 38.6 Zamoyski 1987, p. 332.
  39. Urbankowski 1997, vol. 1, p. 131.
  40. 40.0 40.1 Roos 1966, p. 14; Rothschild 1990, p. 45.
  41. 41.0 41.1 Urbankowski 1997, vol. 1, pp. 121–122.
  42. 42.0 42.1 42.2 42.3 Józef Piłsudski ที่สารานุกรมบริตานิกา.
  43. Chimiak, Galia; Cierlik, Bożena (26 February 2020). Polish and Irish Struggles for Self-Determination: Living near Dragons (ภาษาอังกฤษ). Cambridge Scholars Publishing. ISBN 978-1-5275-4764-3.
  44. Joseph Conrad and his family – who had arrived in Kraków on 28 July 1914, exactly on the outbreak of World War I – in the first days of August took refuge in the Polish mountain resort of Zakopane. There Conrad opined – as Piłsudski had in Paris earlier in 1914 – that, for Poland to regain independence, Russia must be defeated by the Central Powers (the Austro-Hungarian and German Empires), and the Central Powers must in turn be beaten by France and Britain. Zdzisław Najder, Joseph Conrad: A Life, Rochester, New York, Camden House, 2007, ISBN 978-1-57113-347-2, p. 464. Soon after the war, Conrad said of Piłsudski: "He was the only great man to emerge on the scene during the war." Zdzisław Najder, Conrad under Familial Eyes, Cambridge University Press, 1984, ISBN 0-521-25082-X, p. 239.
  45. Urbankowski 1997, vol. 1, pp. 171–122.
  46. Urbankowski 1997, vol. 1, p. 168.
  47. 47.00 47.01 47.02 47.03 47.04 47.05 47.06 47.07 47.08 47.09 47.10 47.11 47.12 Cienciala 2002.
  48. Urbankowski 1997, vol. 1, pp. 174–175.
  49. Urbankowski 1997, vol. 1, pp. 178–179.
  50. Urbankowski 1997, vol. 1, pp. 170–171, 180–182.
  51. Thomas, Nigel (31 May 2018). Polish Legions 1914–19 (ภาษาอังกฤษ). Bloomsbury Publishing. p. 20. ISBN 978-1-4728-2543-8.
  52. 52.0 52.1 52.2 Zamoyski 1987, p. 333.
  53. May, Arthur J. (11 November 2016). The Passing of the Hapsburg Monarchy, 1914-1918, Volume 2 (ภาษาอังกฤษ). University of Pennsylvania Press. p. 505. ISBN 978-1-5128-0753-0.
  54. Wróbel, Piotr J. (15 September 2010). "The Revival of Poland and Paramilitary Violence, 1918-1920". ใน Bergien, Rüdiger; Pröve, Ralf (บ.ก.). Spießer, Patrioten, Revolutionäre: Militärische Mobilisierung und gesellschaftliche Ordnung in der Neuzeit (ภาษาเยอรมัน). Vandenhoeck & Ruprecht. p. 286. ISBN 978-3-86234-113-9.
  55. Rąkowski 2005, pp. 109–11.
  56. Urbankowski 1997, vol. 1, pp. 251–252.
  57. 57.0 57.1 Biskupski 2000.
  58. Rothschild 1990, p. 45.
  59. Urbankowski 1997, vol. 1, p. 253.
  60. Urbankowski 1997, vol. 1, pp. 256, 277–278.
  61. "Gdzie Piłsudski wysiadł z tramwaju, czyli historie poprzekręcane". histmag.org. สืบค้นเมื่อ 16 March 2023.
  62. ""Wysiadłem z czerwonego tramwaju...", czyli czego NIE powiedział Józef Piłsudski". Kurier Historyczny. สืบค้นเมื่อ 16 March 2023.
  63. Suleja 2004, p. 202.
  64. 64.0 64.1 64.2 64.3 64.4 MacMillan 2003, p. 210.
  65. MacMillan 2003, pp. 213–214.
  66. "The Versailles Treaty 28 June 1919: Part III". The Avalon Project. articles 87–93. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 14 February 2008. สืบค้นเมื่อ 15 January 2008.
  67. Grant 1999, p. 114.
  68. MacMillan 2003, pp. 211, 214.
  69. Boemeke et al. 1998, p. 314.
  70. Urbankowski 1997, vol. 1, pp. 499–501.
  71. Jędrzejewicz 1990, p. 93.
  72. Szymczak, Robert. "Polish-Soviet War: Battle of Warsaw". TheHistoryNet. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 7 October 2007. สืบค้นเมื่อ 10 October 2007.
  73. Sanford 2002, pp. 5–6.
  74. Hyde-Price 2001, p. 75.
  75. MacMillan 2003, p. 211.
  76. Urbankowski 1997, vol. 1, p. 281.
  77. Urbankowski 1997, vol. 2, p. 90.
  78. 78.0 78.1 Kenez 1999, p. 37.
  79. Urbankowski 1997, vol. 2, p. 83.
  80. Urbankowski 1997, vol. 1, p. 291.
  81. Urbankowski 1997, vol. 2, p. 45.
  82. Urbankowski 1997, vol. 2, p. 92.
  83. Davies 2003, pp. 95ff.
  84. 84.0 84.1 84.2 Davies 2003
  85. Figes 1996, p. 699. "Within weeks of Brusilov's appointment, 14,000 officers had joined the army to fight the Poles, thousands of civilians had volunteered for war-work, and well over 100,000 deserters had returned to the Red Army on the Western Front".
  86. See Lenin's speech on 22 September 1920 at the 9th Conference of the Russian Communist Party. English translation in Pipes 1993, pp. 181–182 and excerpts in Cienciala 2002. The speech was first published in Artizov, Andrey; Usov, R.A. (1992). ""Я прошу записывать меньше: это не должно попадать в печать ...": Выступления В.И.Ленина на IX конференции РКП(б) 22 сентября 1920 г.". Istoricheskii Arkhiv (ภาษารัสเซีย). 1 (1). ISSN 0869-6322.
  87. Cohen 1980, p. 101.
  88. Lawrynowicz, Witold. "Battle of Warsaw 1920". Polish Militaria Collector's Association in memory of Andrzej Zaremba. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 18 January 2012. สืบค้นเมื่อ 5 November 2006.
  89. Urbankowski 1997, vol. 1, pp. 341–346, 357–358.
  90. Suleja 2004, p. 265.
  91. 91.0 91.1 91.2 91.3 Urbankowski 1997, vol. 1, pp. 341–346.
  92. Cisek 2002, pp. 140–141.
  93. 93.0 93.1 93.2 Urbankowski 1997, vol. 1, pp. 346–441 [357–358]
  94. Davies 2003, p. 197.
  95. Frątczak, Sławomir Z. (2005). "Cud nad Wisłą". Głos (ภาษาโปแลนด์) (32). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 10 May 2017. สืบค้นเมื่อ 26 June 2009.
  96. Davies 1998, p. 935.
  97. Erickson 2001, p. 95.
  98. 98.0 98.1 Lönnroth et al. 1994, p. 230.
  99. Szczepański, Janusz. "Kontrowersje Wokół Bitwy Warszawskiej 1920 Roku (Controversies surrounding the Battle of Warsaw in 1920)". Mówią Wieki online (ภาษาโปแลนด์). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2 December 2007. สืบค้นเมื่อ 15 January 2008.
  100. Urbankowski 1997, vol. 1, p. 484.
  101. Davies 2005, p. 399 (1982 ed. Columbia Univ. Press).
  102. 102.0 102.1 Snyder 2004, p. 70.
  103. "Dialogas tarp lenkų ir lietuvių". Į Laisvę (ภาษาลิทัวเนีย). 13 (50). 1957. Pilsudskis seime kalbėjo; “Negaliu netiesti rankos Kaunui. .. negaliu nelaikyti broliais tų, kurie mūsų triumfo dieną laiko smūgio ir gedulo diena”.
  104. Urbankowski 1997, vol. 1, p. 485.
  105. Urbankowski 1997, vol. 1, pp. 487–488.
  106. Urbankowski 1997, vol. 1, p. 488.
  107. Urbankowski 1997, vol. 1, p. 489.
  108. Suleja 2004, p. 300.
  109. Davies 1986, p. 140.
  110. Urbankowski 1997, vol. 1, pp. 489–490.
  111. Urbankowski 1997, vol. 1, pp. 490–491.
  112. 112.0 112.1 Urbankowski 1997, vol. 1, p. 490.
  113. Watt 1979, p. 210.
  114. Urbankowski 1997, vol. 1, p. 502.
  115. Urbankowski 1997, vol. 1, p. 515.
  116. Suleja 2004, p. 343.
  117. Roszkowski 1992, p. 53, section 5.1.
  118. Urbankowski 1997, vol. 1, pp. 528–539.
  119. Biskupski 2012, p. 46.
  120. Biskupski, M. B. B.; Pula, James S.; Wróbel, Piotr J. (15 April 2010). The Origins of Modern Polish Democracy (ภาษาอังกฤษ). Ohio University Press. p. 145. ISBN 978-0-8214-4309-5.
  121. Śleszyński, Wojciech (2003). "Aspekty prawne utworzenia obozu odosobnienia w Berezie Kartuskiej i reakcje środowisk politycznych. Wybór materiałów i dokumentów 1". Białoruskie Zeszyty Historyczne (ภาษาโปแลนด์). 20. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 25 March 2005 – โดยทาง kamunikat / Belarusian history journal.
  122. Cohen 1989, p. 65.
  123. "Pilsudski Bros". Time. 7 April 1930. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 17 July 2010.
  124. "Pilsudski v. Daszynski". Time. 11 November 1929. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 15 August 2009.
  125. Perlez, Jane (12 September 1993). "Visions of the Past Are Competing for Votes in Poland". The New York Times. สืบค้นเมื่อ 15 January 2008.
  126. Stachura 2004, p. 79.
  127. "Poland". Columbia Encyclopedia. สืบค้นเมื่อ 29 December 2007.
  128. 128.0 128.1 128.2 128.3 Snyder 2004, p. 144.
  129. 129.0 129.1 Zimmerman 2004, p. 166.
  130. Vital 1999, p. 788.
  131. Payne 1995, p. 141.
  132. Lieven 1994, p. 163.
  133. Engelking 2001, p. 75.
  134. Flannery 2005, p. 200.
  135. 135.0 135.1 Zimmerman 2003, p. 19.
  136. Prizel 1998, p. 61.
  137. Wein 1990, p. 292.
  138. Cieplinski, Feigue (2002). "Poles and Jews: The Quest For Self-Determination 1919–1934". Binghamton University History Department. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 18 September 2002.
  139. Paulsson 2003, p. 37.
  140. Snyder 2007, p. 66.
  141. Davies 2005, p. 407 (1982 ed. Columbia Univ. Press).
  142. Leslie 1983, p. 182.
  143. 143.0 143.1 Garlicki 1995, p. 178.
  144. Urbankowski 1997, vol. 2, pp. 330–337.
  145. Zaloga, Steve; Madej, W. Victor (1990). The Polish Campaign, 1939 (ภาษาอังกฤษ). Hippocrene Books. p. 11. ISBN 978-0-87052-013-6.
  146. 146.0 146.1 146.2 146.3 Urbankowski 1997, vol. 1, pp. 539–540.
  147. 147.0 147.1 147.2 Prizel 1998, p. 71.
  148. 148.0 148.1 Lukacs 2001, p. 30.
  149. 149.0 149.1 Jordan 2002, p. 23.
  150. Schuker 1999, p. 48-49.
  151. Urbankowski 1997, vol. 1, pp. 538–540.
  152. Goldstein 2002, p. 29.
  153. Young 1996, p. 19-21.
  154. Young 1996, p. 21.
  155. 155.0 155.1 155.2 155.3 Wandycz 1988, p. 237.
  156. Charaszkiewicz 2000, p. 64.
  157. Urbankowski 1997, vol. 2, pp. 317–326.
  158. Torbus 1999, p. 25.
  159. Quester 2000, p. 27. The author gives a source: Watt 1979.
  160. Baliszewski, Dariusz (28 November 2004). "Ostatnia wojna marszałka". Wprost (ภาษาโปแลนด์). Agencja Wydawniczo-Reklamowa "Wprost" (48/2004, 1148). สืบค้นเมื่อ 24 March 2005.
  161. Hehn 2005, p. 76.
  162. Kershaw 2001, p. 237.
  163. Davidson 2004, p. 25.
  164. Kipp 1993, 95.
  165. Dadak, Casimir (May 2012). "National Heritage and Economic Policies in Free and Sovereign Poland after 1918". Contemporary European History (ภาษาอังกฤษ). 21 (2): 193–214. doi:10.1017/S0960777312000112. ISSN 1469-2171. S2CID 161683968.
  166. [Adam Borkiewicz: Źródła do biografii Józefa Piłsudskiego the z lat 1867–1892, Niepodległość. T. XIX. Warszawa: 1939.]
  167. Andrzej Garlicki, Józef Piłsudski: 1867–1935, Warsaw, Czytelnik, 1988, ISBN 8307017157, pp. 63–64.
  168. Adviser Daria and Thomas, Jozef Pilsudski: Legends and Facts, Warsaw 1987, ISBN 83-203-1967-6, p. 132.]
  169. Suleja Vladimir, Jozef Pilsudski, Wroclaw – Warsaw – Kraków 2005, ISBN 83-04-04706-3, pp. 290.
  170. Drozdowski & Szwankowska 1995, p. 5.
  171. 171.0 171.1 171.2 171.3 171.4 171.5 Drozdowski & Szwankowska 1995, pp. 9–11.
  172. Ideas into Politics: Aspects of European History, 1880–1950 R. J. Bullen, Hartmut Pogge von Strandmann, A. B. Polonsky, Taylor & Francis, 1984, p. 138
  173. Joseph Marcus (18 October 2011). Social and Political History of the Jews in Poland 1919–1939. Walter de Gruyter. p. 349. ISBN 978-3-11-083868-8.
  174. Aviva Woznica (11 April 2008). Fire Unextinguished. Xlibris Corporation. p. 37. ISBN 978-1-4691-0600-7.
  175. "Adolf Hitler attending memorial service of the Polish First Marshall Jozef Pilsudski in Berlin, 1935 – Rare Historical Photos". 3 December 2013.
  176. Humphrey 1936, p. 295.
  177. Kowalski, Waldemar (2017). "Piłsudski pośród królów - droga marszałka na Wawel". dzieje.pl Portal Historyczny (ภาษาโปแลนด์). Polish Press Agency. สืบค้นเมื่อ 7 January 2023.
  178. Watt 1979, p. 338.
  179. To, Wireless (26 June 1937). "Crowds urge Poland to banish Archbishop; Pilsudski Legionnaires also Assail Catholic Church on the Removal of Marshal's Body". The New York Times. สืบค้นเมื่อ 14 December 2009.
  180. Lerski 1996, p. 525.
  181. Urbankowski 1997, vol. 1, pp. 133–141.
  182. Jabłonowski & Stawecki 1998, p. 13.
  183. Jabłonowski & Stawecki 1998, p. 14.
  184. Andrzej Ajnenkiel; Andrzej Drzycimski; Janina Paradowska (1991). Prezydenci Polski (ภาษาโปแลนด์). Wydawn. Sejmowe. p. 62. ISBN 9788370590000. grupa pułkowników, zespół wywodzących się z wojska najbliższych współpracowników Marszałka, takich jak płk Sławek czy płk Prystor; ich koncepcje różniły się wyraźnie od stanowiska zajmowanego przez prezydenta.
  185. Dworski, Michał (2018). "Republic in Exile ͵ Political Life of Polish Emigration in United Kingdom After Second World War". Toruńskie Studia Międzynarodowe (ภาษาอังกฤษ). 1 (10): 101–110. doi:10.12775/TSM.2017.008. ISSN 2391-7601.
  186. Pra ż mowska, Anita (1 July 2013). "The Polish Underground Resistance During the Second World War: A Study in Political Disunity During Occupation". European History Quarterly (ภาษาอังกฤษ). 43 (3): 464–488. doi:10.1177/0265691413490495. ISSN 0265-6914. S2CID 220737108.
  187. Charaszkiewicz 2000, p. 56
  188. Władyka 2005, pp. 285–311; Żuławnik, Małgorzata & Mariusz 2005.
  189. Roshwald 2002, p. 60.
  190. Translation of Oświadczenie Sejmu Rzeczypospolitej Polskiej z dnia 12 maja 1995 r. w sprawie uczczenia 60 rocznicy śmierci Marszałka Józefa Piłsudskiego. (MP z dnia 24 maja 1995 r.). For Polish original online, see here [1].
  191. K. Kopp; J. Nizynska (7 May 2012). Germany, Poland and Postmemorial Relations: In Search of a Livable Past. Springer. pp. 120–121. ISBN 978-1-137-05205-6.
  192. Ahmet Ersoy; Maciej G¢rny; Vangelis Kechriotis (1 January 2010). Modernism: The Creation of Nation-States: Discourses of Collective Identity in Central and Southeast Europe 1770?1945: Texts and Commentaries, Volume III/1. Central European University Press. p. 407. ISBN 978-963-7326-61-5.
  193. "Polish Armoured Train Nr. 51 ("I Marszałek")". PIBWL (Prywatny Instytut Badawczy Wojsk Lądowych). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 7 May 2018. สืบค้นเมื่อ 30 May 2006.
  194. "De ce Batalionul 634 Infanterie din Piatra-Neamț se numește "Mareşal Józef Piłsudski"?". ziarpiatraneamt.ro (ภาษาโรมาเนีย). 6 December 2021.
  195. "Kopiec Józefa Piłsudskiego". Pedagogical University of Kraków (ภาษาโปแลนด์). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 7 July 2007. สืบค้นเมื่อ 18 September 2007.
  196. "Józef Piłsudski Institute of America Welcome Page". Józef Piłsudski Institute of America. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 15 June 2006. สืบค้นเมื่อ 26 May 2006.
  197. "Józef Piłsudski Academy of Physical Education in Warsaw". Polish Ministry of Education and Science. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 23 September 2005. สืบค้นเมื่อ 30 May 2006.
  198. 198.0 198.1 Jonathan D. Smele (19 November 2015). Historical Dictionary of the Russian Civil Wars, 1916-1926. Rowman & Littlefield Publishers. p. 872. ISBN 978-1-4422-5281-3.
  199. "House and home: Piłsudski's old manor opens as museum". สืบค้นเมื่อ 16 August 2020.
  200. Ujma, Martyna (2016). "Od nadziei do rozczarowania - Józef Piłsudski w międzywojennej literaturze (na wybranych przykładach)". ใน Krywoszeja, Igor; Morawiec, Norbert; Terszak, Rafał; Częstochowa, Oddział (บ.ก.). Polsko-ukraińskie spotkania z Klio (ภาษาโปแลนด์). Polskie Towarzystwo Historyczne. Oddział Częstochowa. pp. 61–76. ISBN 978-83-947379-1-7.
  201. Goss, Łukasz (2008). ""Okno na Barcza" (o powieści Juliusza Kadena-Bandrowskiego "Generał Barcz")". Acta Universitatis Lodziensis. Folia Litteraria Polonica (ภาษาอังกฤษ). 11. ISSN 2353-1908.
  202. Ryrych, Tomasz (2019). "Biały steampunk – dwa oblicza carskiej Rosji. "Lód" Jacka Dukaja i cykl opowiadań o doktorze Skórzewskim Andrzeja Pilipiuka". Creatio Fantastica (ภาษาPolish). 60 (1): 97–114. ISSN 2300-2514.{{cite journal}}: CS1 maint: unrecognized language (ลิงก์)
  203. "Piłsudski (keyword)". National Library Of Poland. สืบค้นเมื่อ 15 January 2008.
  204. "Library of Congress Online Catalog". สืบค้นเมื่อ 20 December 2007.
  205. Ewa Mazierska (2007). Polish Postcommunist Cinema: From Pavement Level. Peter Lang. p. 122. ISBN 978-3-03910-529-8.
  206. Wacława Milewska (1998). Legiony Polskie 1914–1918: zarys historii militarnej i politycznej. Księg. Akademicka. p. 14. ISBN 978-83-7188-228-9.
  207. Wacław Jedrzejewicz; Janusz Cisek (1998). Kalendarium życia Józefa Piłsudskiego: 1867-1935. 1918-1926. TomII. Oficyna wydawnicza RYTM. p. 337. ISBN 978-83-86678-97-6.
  208. Anna Szałapak (2005). Legends and mysteries of Cracow: from King Krak to Piotr Skrzynecki. Muzeum Historyczne Miasta Krakowa. p. 193. ISBN 9788389599070. Piłsudski... bardzo lubił karykatury na swój temat.
  209. Lachowicz, Teofil. Karkowska, Julita (บ.ก.). "Droga na szczyty". Nowy Dziennik (ภาษาโปแลนด์). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 23 July 2011. สืบค้นเมื่อ 24 July 2011.
  210. Davies 1986, p. 139.

แยก 2

[แก้]