อาร์เทอร์ คอมป์ตัน
อาร์เทอร์ คอมป์ตัน | |
---|---|
เกิด | อาร์เทอร์ ฮอลลี คอมป์ตัน 10 กันยายน ค.ศ. 1892 เมืองวูสเตอร์ เทศมณฑลเวน รัฐโอไฮโอ |
เสียชีวิต | มีนาคม 15, 1962 เมืองเบิร์กลีย์ เทศมณฑลแอละเมดา รัฐแคลิฟอร์เนีย | (69 ปี)
สัญชาติ | สหรัฐอเมริกา |
ศิษย์เก่า | โรงเรียนผู้ใหญ่วูสเตอร์ มหาวิทยาลัยปรินซ์ตัน |
มีชื่อเสียงจาก | การกระเจิงคอมป์ตัน ความยาวคลื่นคอมป์ตัน |
รางวัล | Nobel Prize for Physics (1927) Franklin Medal (1940) Hughes Medal (1940) |
อาชีพทางวิทยาศาสตร์ | |
สาขา | ฟิสิกส์ |
สถาบันที่ทำงาน | มหาวิทยาลัยวอชิงตัน เซนต์หลุยส์ มหาวิทยาลัยชิคาโก มหาวิทยาลัยมินนิโซตา |
อาจารย์ที่ปรึกษาในระดับปริญญาเอก | เฮเรเวิร์ด แอล คูก (Hereward L. Cooke) |
ลูกศิษย์ในระดับปริญญาเอก | ลุยส์ วอลเตอร์ อัลวาเรซ (Luis Walter Alvarez) วินสตัน เอช โบสติก (Winston H Bostick) โรเบิร์ต เอส แชงก์แลนด์ (Robert S Shankland) จอยซ์ เอ แบร์เดน (Joyce A Bearden) |
ลายมือชื่อ | |
หมายเหตุ | |
มีวิลสัน คอมป์ตัน และคาร์ล คอมป์ตัน เป็นพี่น้องร่วมบิดามารดา |
อาร์เทอร์ ฮอลลี คอมป์ตัน (Arthur Holly Compton) (10 กันยายน พ.ศ. 2435 – 15 มีนาคม พ.ศ. 2505) เป็นนักฟิสิกส์ชาวอเมริกัน ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ พ.ศ. 2470 ในฐานะที่เขาค้นพบการกระเจิงของโฟตอนจากอิเล็กตรอน อันเป็นการพิสูจน์สมบัติความเป็นอนุภาคของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า อาร์เทอร์ คอมป์ตัน รู้จักกันดีในฐานะหัวหน้าห้องปฏิบัติการโลหิงยาวิทยาของโครงการแมนฮัตตัน และนายกสภามหาวิทยาลัยวอชิงตันเซนต์หลุยส์ระหว่าง พ.ศ. 2488 - 2496 และเป็นผู้ศึกษารังสีทุกชนิดบนโลก
ชีวิตวัยเยาว์และชิวิตครอบครัว
[แก้]อาร์เทอร์ คอมป์ตัน เกิดเมื่อวันเสาร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2435 เป็นบุตรคนที่ของเอเลียส คอมป์ตัน (Elias Compton) และโอเทลเลีย แคเทอรีน คอมป์ตัน (Otelia Catherine Compton) (สกุลเดิม ออกซเพอร์เกอร์ (Augspurger)) [1] โดยเอเลียสผู้เป็นบิดา ได้เคยเป็นผู้อำนวยการวิทยาลัยวูสเตอร์ ส่วนคาร์ล คอมป์ตัน (Karl Compton) พี่ชายของอาร์เทอร์ ได้ปริญญาเอกสาขาฟิสิกส์จากมหาวิทยาลัยปรินซ์ตัน เมื่อ พ.ศ. 2455 และเป็นอธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ ระหว่างปี พ.ศ. 2473 - 2491 พี่ชายคนรอง วิลสัน คอมป์ตัน (Wilson Compton) ได้รับปริญญาเอกสาขาเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยปรินซ์ตัน เมื่อ พ.ศ. 2456 และได้เป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยวอชิงตันสเตต ยิ่งไปกว่านั้น มารดาตระกูลคอมป์ตันเป็นแม่ดีเด่นประจำปี 2475 ของสหรัฐอเมริกาด้วย[2] ในส่วนน้องสาว แมรี คอมป์ตัน (Mary Compton) สมรสกับศาสนาจารย์ซี เฮอร์เบิร์ต ไรซ์ (C Herbert Rice) ครูใหญ่โรงเรียนคริสเตียนลาฮอร์[3]
ในชั้นแรก อาร์เทอร์สนใจวิชาดาราศาสตร์ โดยได้ถ่ายภาพดาวหางฮัลเลย์ครั้งที่โคจรผ่านโลกเมื่อ พ.ศ. 2455[4] ปีถัดมา อาร์เทอร์ก็เริ่มทำการทดลองเพื่อศึกษาผลของการหมุนของโลกที่มีต่อน้ำที่บรรจุในหลอดทบเป็นวงกลม[5] ในที่สุดปีเดียวกันนั้นเองเขาก็จบการศึกษาได้รับปริญญาวิทยาศาสตรบัณฑิตจากวิทยาลัยวูสเตอร์ ต่อมาในปี พ.ศ. 2457 อาร์เทอร์ได้รับปริญญาศิลปศาสตรบัณฑิตจากมหาวิทยาลัยปรินซ์ตัน[6] ไม่เพียงเท่านั้น เขายังศึกษาต่อปริญญาเอกกับเฮเรเวิร์ด คูก ในหัวข้อ ความเข้มของการสะท้อนรังสีเอกซ์และการจัดเรียงอิเล็กตรอนในอะตอม[7] จนได้รับปริญญาวิทยาศาสตรดุษฎีบัณฑิตใน พ.ศ. 2459 พี่น้องตระกูลคอมป์ตันถือได้ว่าเป็นพี่น้องกลุ่มแรกที่เข้ามหาวิทยาลัยพร้อมกัน และจบปริญญาเอกไล่เลี่ยกัน[8] หลังจบปริญญาเอกได้ทำงานเป็นอาจารย์สอนฟิสิกส์ที่มหาวิทยาลัยมินนิโซตา แต่เป็นได้เพียงหนึ่งปี [9] จากนั้นจึงได้ย้ายไปทำงานเป็นวิศวกรวิจัยที่บริษัทเวสติงเฮาส์ที่เมืองพิตสเบิร์ก งานหลักของเขาในขณะนั้นคือการพัฒนาหลอดไฟไอโซเดียม (sodium-vapour lamp) ครั้นสงครามโลกครั้งที่หนึ่งมาถึง อาร์เทอร์ได้ช่วยพัฒนาระบบสื่อสารอากาศยานที่กองทหารสื่อสารสหรัฐอีกด้วย[3]
ในปี พ.ศ. 2462 อาร์เทอร์ได้รับทุนการศึกษาจากสภาวิจัยแห่งชาติสหรัฐให้เดินทางไปศึกษาที่ห้องปฏิบัติการคาเวนดิช มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ โดยทำงานวิจัยกับจอร์จ แพเจต ทอมสัน บุตรของโจเซฟ จอห์น ทอมสัน ในหัวข้อการกระเจิงและการดูดกลืนรังสีแกมมา[9][10] ในการศึกษาเขาสังเกตว่ารังสีที่กระเจิงสามารถดูดกลืนได้ง่ายกว่ารังสีจากแหล่งกำเนิด[6] ณ ที่นั้น เขาได้พบกับนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงหลายท่าน อาทิ เออร์เนสต์ รัทเทอร์ฟอร์ด ชาลส์ แกลตัน ดาร์วิน และอาร์เทอร์ เอดดิงตัน ซึ่งสองชื่อได้กลายเป็นชื่อบุตรของอาร์เทอร์เองในเวลาต่อมา[10]
ทางด้านชีวิตครอบครัว อาร์เทอร์สมรสกับเบตตี แชริตี แมคคลอสกีย์ (Betty Charity McCloskey) ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมชั้นในคราวที่เรียนปริญญาตรี มีบุตรด้วยกันสองคน คือ อาร์เทอร์ อลัน คอมป์ตัน และจอห์น โจเซฟ คอมป์ตัน[11]
ชีวิตการงาน
[แก้]ปรากฏการณ์คอมป์ตัน
[แก้]หลังจากที่ได้ทำวิจัยที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์เป็นเวลาหนึ่งปีมาแล้ว อาร์เทอร์ได้เดินทางกลับมารับตำแหน่งศาสตราจารย์สาขาฟิสิกส์ เวย์แมน คราว (Wayman Crow Professor of Physics) และหัวหน้าภาควิชาฟิสิกส์มหาวิทยาลัยวอชิงตันเซนต์หลุยส์[6] สองปีต่อมาเขาได้ค้นพบการกระเจิงของควอนตารังสีเอกซ์จากอิเล็กตรอนอิสระ โดยสังเกตได้ว่ารังสีเอกซ์หลังกระเจิงมีความยาวคลื่นยาวกว่าก่อนกระเจิง เขาจึงอธิบายว่า รังสีเอกซ์สูญเสียพลังงานส่วนหนึ่งให้กับอิเล็กตรอนขณะพุ่งเข้าชน ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า ปรากฏการณ์คอมป์ตัน[12][13]
ต่อมา ในปี พ.ศ. 2466 อาร์เทอร์ตีพิมพ์บทความลงในวารสาร ฟิสิกัลรีวิว ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงความถี่ของรังสีเอกซ์ โดยเสนอว่าแสงประกอบด้วยอนุภาคที่เรียกว่าโฟตอน โฟตอนแต่ละตัวมีพลังงานขึ้นกับความถี่ อันเป็นแนวคิดของมักซ์ พลังค์ ที่เสนอไว้เมื่อ 23 ปีก่อน นอกจากนี้ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ใช้แนวคิดเดียวกันอธิบายปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก[14] ในบทความดังกล่าวมีความสัมพันธ์ทางคณิตศาสตร์ระหว่างความยาวคลื่นที่เปลี่ยนแปลงไป กับมุมกระเจิงของรังสีเอกซ์ โดยสมมติให้โฟตอนหนึ่งตัวชนกับอิเล็กตรอนอิสระหนึ่งตัว จากนั้นจะได้ว่า
โดยที่
- แทนความยาวคลื่นของรังสีเอกซ์ก่อนกระเจิง
- แทนความยาวคลื่นของรังสีเอกซ์หลังกระเจิง
- แทน ค่าคงตัวพลังค์
- แทนมวลนิ่งของอิเล็กตรอน
- แทนอัตราเร็วแสง
- แทนมุมกระเจิง[13]
ค่าคงตัว hmec เรียกว่า ความยาวคลื่นคอมป์ตันของอิเล็กตรอน ซึ่งมีค่า 2.43×10−12 m ความต่างความยาวคลื่น λ′ − λ มีค่าได้ตั้งแต่ศูนย์ (เมื่อ θ = 0°) จนถึงสองเท่าของความยาวคลื่นคอมป์ตัน (เมื่อ θ = 180°))[15] ในการทดลองจริง รังสีเอกซ์บางลำอาจไม่ได้เปลี่ยนแปลงความยาวคลื่นเลยแม้จะกระเจิงเป็นมุมกว้าง และบางกรณีโฟตอนอาจไม่กระเจิงออกจากอิเล็กตรอนเลย อย่างไรก็ดี การกระเจิงคอมป์ตันสามารถเกิดที่ระดับอะตอม ซึ่งใหญ่กว่าอิเล็กตรอนถึง 10,000 เท่า[13]
จากปรากฏการณ์ดังกล่าว ได้ยืนยันสมบัติความเป็นอนุภาคของรังสีเอกซ์ และคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าชนิดอื่น ทำให้เจ้าของผลงานได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ ประจำปี พ.ศ. 2470 ร่วมกับอัลเฟรด ไซมอน ซึ่งคิดค้นวิธีการสังเกตการกระเจิงโฟตอนพร้อม ๆ กับอิเล็กตรอนที่ถูกเร่ง อันเป็นวิธีที่คล้ายกับวิธีของวอลเทอร์ โบเทอ (Walther Bother) และฮันส์ ไกเกอร์ นักฟิสิกส์ชาวเยอรมัน[12] อาร์เทอร์เคยกล่าวไว้ว่า "ตอนที่ผมเสนอผลงานในสมาคมฟิสิกส์อเมริกัน ราว ๆ ปี 2466 เรื่องนี้นับว่าเป็นเรื่องที่ถกกันได้ยาวทีเดียวเท่าที่ผมเคยเห็นมาในชีวิต"[16]
การทดลองรังสีเอกซ์
[แก้]ในปี พ.ศ. 2466 อาร์เทอร์ย้ายไปทำงานที่มหาวิทยาลัยชิคาโก โดยทำงานเป็นอาจารย์สอนฟิสิกส์[6] โดยเขาได้ทำงานนานถึง 22 ปีทีเดียว.[12] สองปีหลังจากเข้าทำงาน เขาได้สาธิตการกระเจิงรังสีเอกซ์พลังงาน 130,000 โวลต์ กับอะตอมธาตุ 16 ธาตุแรกในตารางธาตุ (ไฮโดรเจน จนถึง กำมะถัน) โดยรังสีเอกซ์ที่ได้เป็นคลื่นโพลาไรซ์ ตามผลที่จอห์น ทอมสันได้เคยระบุไว้ ทางด้านมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด วิลเลียม ดูแอน (William Douane) ได้พยายามทำการทดลองเพื่อหักล้างงานที่อาร์เทอร์ทำ แต่ไม่เป็นผล[12] นอกจากปรากฏการณ์คอมป์ตันแล้ว อาร์เทอร์ยังได้ศึกษาผลของรังสีเอกซ์ที่มีต่อนิวเคลียสโซเดียมกับคลอรีน ซึ่งเป็นส่วนประกอบของเกลือแกง ในการศึกษานี้ได้ใช้รังสีเอกซ์ศึกษาภาวะเฟอร์โรแมกเนติก ซึ่งเป็นผลมาจากการจัดตัวของสปินอิเล็กตรอน[17] ในปี พ.ศ. 2469 อาร์เทอร์เขียนหนังสือ รังสีเอกซ์และอิเล็กตรอน ซึ่งเป็นหนังสือว่าด้วยการศึกษาสมบัติวัสดุด้วยรังสีเอกซ์ มีหัวข้อว่าด้วยการคำนวณความหนาแน่นของวัสดุซึ่งเลี้ยวเบนรังสีได้[17] เก้าปีต่อมาได้ร่วมกับแซมมวล แอลิสัน (Samuel Alison) เขียนหนังสือชื่อ รังสีเอกซ์ในทฤษฎีและการทดลอง นับเป็นมาตรฐานในขณะนั้น[18]
ต่อมาในปี พ.ศ. 2477 อาร์เทอร์รับเป็นที่ปรึกษาแผนกหลอดไฟของบริษัทเจเนอรัลอิเล็กทริก แปดปีให้หลังเขาเดินทางไปยังประเทศอังกฤษเพื่อไปดูแลห้องปฏิบัติการของบริษัทฯ ที่ตำบลเวมบลีย์ อำเภอเบรนต์ ชานกรุงลอนดอนด้านตะวันตกเฉียงเหนือ รวมถึงเป็นศาสตราภิชานอีสต์แมนที่มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด ระหว่างนั้น เขาได้สนใจทำวิจัยเรื่องหลอดวาวแสง (หลอดฟลูออเรสเซนต์) อีกด้วย[19][20]
การทดลองรังสีคอสมิก
[แก้]นอกจากรังสีเอกซ์แล้ว อาร์เทอร์สนใจรังสีคอสมิกซึ่เป็นรังสีจากนอกโลกและไม่มีผู้ได้ทราบถึงธรรมชาติที่แน่นอนของรังสี นอกเสียจากจะตรวจวัดด้วยทรงกลมโลหะบรรจุแก๊สอาร์กอน ต่อกับตัวตรวจวัดความนำไฟฟ้า ด้วยความสนใจนี้เองเขาได้เดินทางไปในหลายประเทศ อาทิ ทวีปยุโรป อินเดีย เม็กซิโก เปรู และออสเตรเลีย เพื่อตรวจวัดปริมาณรังสีคอสมิกตามตำแหน่งและความสูงที่แตกต่างกัน เมื่อนำข้อมูลมารวมกับกลุ่มวิจัยอื่นพบว่า รังสีคอสมิกที่ขั้วโลกมีความแรงมากกว่าที่เส้นศูนย์สูตร 15% เขาอธิบายว่ารังสีคอสมิกประกอบด้วยอนุภาคที่มีประจุ แทนที่จะเป็นแสงเฉย อย่างที่โรเบิร์ต มิลลิแกน ได้อธิบายไว้ และเนื่องจากสนามแม่เหล็กโลกที่ความเข้มต่างกันก็ทำให้ความแรงของรังสีคอสมิกไม่เท่ากัน[21]
โครงการแมนฮัตตัน
[แก้]ราวเดือนเมษายน พ.ศ. 2484 วันเนวาร์ บุช หัวหน้าสภาวิจัยกลาโหม ได้จัดให้มีคณะอนุกรรมการว่าด้วยโครงการยูเรเนียม โดยมีอาร์เทอร์เป็นหนึ่งในนั้น ซึ่งเขาก็ได้ทำรายงานเมื่อเดือนพฤษกาคมปีเดียวกัน ระบุถึงคามเป็นไปได้ในการพัฒนาอาวุธรังสี อาวุธนิวเคลียร์ทำจากยูเรเนียม-235 หรือพลูโตเนียม และเครื่องยนต์นิวเคลียร์สำหรับเรือรบ[22] ในเดือนตุลาคมปีเดียวกันนั้นเอง อาร์เทอร์และเอนริโก แฟร์มี ร่วมกันเขียนรายงานว่าด้วยระเบิดนิวเคลียร์ โดยทั้งสองได้คำนวณมวลวิกฤตของยูเรเนียม-235 ได้ที่ค่าระหว่าง 20 กิโลกรัม จนถึง 2 ตัน หากทำได้ตามที่กำหนดย่อมสามารถสร้างระเบิดทำลายล้างสูงด้วย นอกจากนี้ยังได้ทำงานร่วมกับแฮโรลด์ อูเรย์ (Harold Urey) ยูจีน วิกเนอร์ (Eugene Wigner) มาร์ก โอลิฟันต์ (Mark Oliphant) และโรเบิร์ต เซอร์เบอร์ (Robert Serber) ว่าด้วยการเสริมสมรรถนะยูเรเนียม การผลิต และแยกพลูโตเนียมออกจากยูเรเนียมในเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ [23]
ต่อมา เออร์เนสต์ ลอว์เรนซ์ (Ernest Lawrence) ได้เสนอว่าสามารถสร้างระเบิดพลูโตเนียมขึ้นได้ เช่นเดียวกันระเบิดยูเรเนียม ทำให้ในเดือนธันวาคมปีนั้นเองอาร์เทอร์เข้าร่วมโครงการพลูโตเนียม[24] เขาหวังว่าจะสามารถควบคุมปฏิกิริยาลูกโซ่wได้ภายในต้นปี พ.ศ. 2486 และต้องได้ระเบิดนิวเคลียร์ภายในต้นปี พ.ศ. 2488 ในการนี้เขาได้อยู่ในกลุ่มวิจัยด้านพลูโตเนียมและเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์หลายกลุ่มที่มีที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย มหาวิทยาลัยปรินซ์ตัน มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียเบิร์กเลย์ เพื่อรวบรวมสรรพกำลังที่มีอยู่ทั้งหมด โดยมีห้องปฏิบัติการโลหวิทยาที่มหาวิทยาลัยชิคาโกเป็นศูนย์กลาง[25]
ครั้นถึงเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2485 กองทหารช่างสหรัฐอเมริกาได้รวมโครงการอาวุธนิวเคลียร์กับห้องปฏิบัติการโลหวิทยาของเขาไว้กับโครงการแมนฮัตตัน[26] เดือนเดียวกันนั้นเองอาร์เทอร์มอบหมายให้โรเบิร์ต ออปเพนไฮเมอร์ มีหน้าที่ออกแบบระเบิด ส่วนตัวอาร์เทอร์เองเป็นผู้เลือกแบบเตาปฏิกรณ์[27]ต่อมาได้มีการสร้างเตาปฏิกรณ์ชิคาโกไพล์-1 (Chicago Pile-1) ที่สนามกีฬามหาวิทยาลัยชิคาโกตามคำแนะนำของเอนริโก แฟร์มี ในที่สุดเตาปฏิกรณ์ที่สร้างก็สัมฤทธิ์ผลเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2485 การทดลองเสริมความบริสุทธิ์ของยูเรเนียมก็ได้เริ่มต้นขึ้น นอกจากนี้ยังได้ร่วมกับบริษัทดูปองต์ (DuPont) สร้างโรงงานพลูโตเนียมขนาดลำลองที่เมืองโอ๊กริดจ์ รัฐเทนเนสซี[28] ทางด้านเอมิลิโอ เซกเร (Emilio Segrè) ก็มีเตาปฏิกรณ์แกรไฟต์ X-10 ที่เมืองโอ๊กริดจ์ ซึ่งสามารถผลิตพลูโตเนียม-240 ได้ในปริมาณสูง และมีสมบัติการแตกตัวเอง (spontaneous fission) ทำให้สามารถนำไปทำอาวุธนิวเคลียร์ได้ ส่วนโรเบิร์ต ออปเฟนไฮเมอร์ก็พยายามทำวิจัยว่าด้วยอาวุธนิวเคลียร์แบบยุบตัวเข้า แทนที่จะระเบิดออก[23]
ราวเดือนกันยายน พ.ศ. 2487 อาร์เทอร์สร้างตัวเตาปฏิกรณ์ที่นิคมแฮนฟอร์ดเสร็จ อีกสองเดือนถัดมาแท่งยูเรเนียมชุดแรกได้ถูกใส่เข้าไปในเตา อีกสามเดือนถัดมาก็สามารถผลิตเป็นยูเรเนียมส่งไปยังลอสอะลามอส (Los Alamos) ภายใต้การควบคุมของเขาเอง[29] ด้วยความสำเร็จของโครงการ ทำให้เขา โรเบิร์ต ออปเพนไฮเมอร์ เออร์เนสต์ ลอว์เรนซ์ และเอ็นรีโก แฟร์มี เสนอให้ใช้ระเบิดนิวเคลียร์ทำสงครามกับญี่ปุ่น[30] จนได้รับเหรียญอิสริยาภรณ์ Medal of Merit [31]
กลับสู่มหาวิทยาลัยวอชิงตันครั้งที่สอง
[แก้]หลังสิ้นสงคราม อาร์เทอร์ลาออกจากตำแหน่งอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยชิคาโก แล้วเดินทางกลับสู่มหาวิทยาลัยวอชิงตันเซนต์หลุยส์ ก่อนได้รับตำแหน่งนายกสภาคนที่เก้า เมื่อปี พ.ศ. 2489[31] ระหว่างดำรงตำแหน่ง มหาวิทยาลัยได้ยกเลิกข้อห้ามรับอาจารย์หญิงรวมทั้งรับนักศึกษาที่เป็นทหารผ่านศึก ถึงกระนั้นมหาวิทยาลัยก็ยังปฏิเสธไม่รับนักศึกษาผิวดำเข้าเรียน แต่แล้วก็ได้ยกเลิกกฎดังกล่าวไปหลังจากที่สถาบันอื่นเลิกกฎข้อนี้ไปนานแล้ว[32]
ในที่สุด เมื่อปี พ.ศ. 2497 อาร์เทอร์พ้นจากตำแหน่งนายกสภา แต่ยังคงเป็นอาจารย์ในตำแหน่งศาสตราจารย์อุปการคุณจนกระทั่งเกษียณในเจ็ดปีต่อมา หนังสืออะตอมิกเควส (Atomic Quest) ถูกเขียนขึ้นโดยเขาเอง โดยเล่าประวัติการทำงานในโครงการแมนฮัตตัน หนังสือเล่มนี้วางขายเมื่อ พ.ศ. 2508[31]
ปรัชญาชีวิต
[แก้]อาร์เทอร์ คอมป์ตัน เป็นนักวิทยาศาสตร์ส่วนน้อยที่เคยเสนอแบบจำลองเจตจำนงเสรีสองขั้น (two-stage model of free will) ร่วมกับวิลเลียม เจมส์ (William James) อองรี ปวงกาเร (Henri Poincaré) คาร์ล พอปเพอร์ (Karl Popper) และเฮนรี มาร์เกอเนา (Henry Margenau) และแดเนียล เดนเนตต์ (Daniel Dennett)[33] อนึ่ง อาร์เทอร์เคยกล่าวในวารสารแอตแลนติดมันท์ลี (Atlantic Monthly) ฉบับหนึ่งของปี พ.ศ. 2498 ไว้ว่า[34]
เงื่อนไขที่ทราบดีแล้ว ไม่เพียงพอที่จะทำให้ทราบเหตุการณ์ที่จะเกิดต่อไป ชนิดที่มีความแแน่นอนและไม่ผิดเพี้ยน อย่างไรก็ดีเงื่อนไขที่เราทราบแล้วเหล่านั้นทำให้เกิดซึ่งเหตุการณ์ย่อยเรียงต่อกันหลายแบบต่อจากเหตุการณ์หนึ่ง ๆ จึงทำให้มีความไม่แน่นอนเกิดขึ้น หากคน ๆ หนึ่งใชเความเสรีภาพอย่างแท้จริง เขาจะต้องไม่เป็นส่วนหนึ่งของเงื่อนไขเหล่านั้น เพื่อให้สามารถเลือกว่าจะเอาเหตุการณ์อย่างใดดี ความคิดดังกล่าวรู้ได้ก็แต่เฉพาะตัวเขา แต่คนภายนอกเห็นได้แค่เพียงการกระทำของเขาตามหลักการ ส่วนสิ่งที่บังคับเขาให้กระทำคือ เจตจำนง ของเขาเอง[34]
นอกจากนี้ในปี พ.ศ. 2474 อาร์เทอร์เป็นผู้เสนอแนวคิดความโลเลทางควอนตัม (quantum indeterminacy) รวมทั้งได้เชื่อมโยงแนวคิดความน่าจะเป็นทางควอนตัมสู่โอกาสในการเกิดเหตุการณ์และความไม่แน่นอนในโลกแห่งความเป็นจริง โดยยกตัวอย่างของไดนาไมต์ผูกติดกับลำโพงเครื่องเสียงของเขาเอง ทำนองเดียวกันกับ แมวของชเรอดิงเงอร์ (Schrödinger's cat)[35]
มรณกรรมและมรดก
[แก้]อาร์เทอร์ถึงแก่กรรมเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2505 ด้วยโรคเลือดออกในสมอง บุตรภริยาของเขาได้นำศพไปฝังที่สุสานเมืองวูสเตอร์ บ้านเกิดของเขาเอง[11][36] บ้านของเขาในปัจจุบันกลายเป็นมรดกแห่งชาติ[37]
ในช่วงที่มีชีวิต เขาได้รับเกียรติยศต่าง ๆ อาทิ รางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ พ.ศ. 2470 เหรียญทองมัตเตอุชชี พ.ศ. 2476 เหรียญฮิวก์ราชวิทยสมาคมอังกฤษ และเหรียญเบนจามิน แฟรงคลิน พ.ศ. 2483[38] รวมถึงมีการนำชื่อของเขาไปตั้งเป็นชื่อสถานที่ต่าง ๆ อาทิ หลุมอุกกาบาตคอมป์ตันบนดวงจันทร์[39] ห้องปฏิบัติการวิจัยที่มหาวิทยาลัยวอชิงตันเซนต์หลุยส์[40] หอพักคอมป์ตันของมหาวิทยาลัยฯ[41] เซ็นต์หลุยวอล์กออฟเฟม (St Louis Walf of Fame)[42] และห้องปฏิบัติการรังสีแกมมาที่นาซ่า[43]
ผลงานวิชาการ
[แก้]- Compton, Arthur (1926). X-Rays and Electrons: an Outline of Recent X-Ray Theory. New York: D. Van Nostrand Company, Inc. OCLC 1871779.
- Compton, Arthur; with Allison, S. K. (1935). X-Rays in Theory and Experiment. New York: D. Van Nostrand Company, Inc. OCLC 853654.
- Compton, Arthur (1935). The Freedom of Man. New Haven: Yale University Press. OCLC 5723621.
- Compton, Arthur (1940). The Human Meaning of Science. Chapel Hill: University of North Carolina Press. OCLC 311688.
- Compton, Arthur (1949). Man's Destiny in Eternity. Boston: Beacon Press. OCLC 4739240.
- Compton, Arthur (1956). Atomic Quest. New York: Oxford University Press. OCLC 173307.
- Compton, Arthur (1967). Johnston, Marjorie (บ.ก.). The Cosmos of Arthur Holly Compton. New York: Alfred A. Knopf. OCLC 953130.
- Compton, Arthur (1973). Shankland, Robert S. (บ.ก.). Scientific Papers of Arthur Holly Compton. Chicago: University of Chicago Press. ISBN 9780226114309. OCLC 962635.
เชิงอรรถ
[แก้]- ↑ Hockey 2007, p. 244.
- ↑ "Past National Mothers of the Year". American Mothers, Inc. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-03-23. สืบค้นเมื่อ July 23, 2013.
- ↑ 3.0 3.1 Allison 1965, p. 82.
- ↑ Compton 1967, pp. 11–12.
- ↑ Compton, A. H. (May 23, 1913). "A Laboratory Method of Demonstrating the Earth's Rotation". Science. 37 (960): 803–806. Bibcode:1913Sci....37..803C. doi:10.1126/science.37.960.803. PMID 17838837.
- ↑ 6.0 6.1 6.2 6.3 "Arthur H. Compton – Biography". Nobel Foundation. สืบค้นเมื่อ March 19, 2013.
- ↑ "Arthur Holly Compton (1892–1962)" (PDF). University of Notre Dame. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2014-01-11. สืบค้นเมื่อ July 24, 2013.
- ↑ Compton 1967, p. 425.
- ↑ 9.0 9.1 Allison 1965, p. 83.
- ↑ 10.0 10.1 Compton 1967, p. 27.
- ↑ 11.0 11.1 Allison 1965, p. 94.
- ↑ 12.0 12.1 12.2 12.3 Allison 1965, pp. 84–86.
- ↑ 13.0 13.1 13.2 Compton, Arthur H. (May 1923). "A Quantum Theory of the Scattering of X-Rays by Light Elements". Physical Review. 21 (5): 483–502. Bibcode:1923PhRv...21..483C. doi:10.1103/PhysRev.21.483. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-01-27. สืบค้นเมื่อ September 26, 2013.
- ↑ Gamow 1966, pp. 17–23.
- ↑ "The Compton wavelength of the electron". University of California Riverside. สืบค้นเมื่อ August 18, 2013.
- ↑ Compton 1967, p. 36.
- ↑ 17.0 17.1 Allison 1965, pp. 87–88.
- ↑ Allison 1965, p. 90.
- ↑ Allison 1965, pp. 88–89.
- ↑ "Eastman Professorship". The Association of American Rhodes Scholars. สืบค้นเมื่อ July 26, 2013.
- ↑ Compton 1967, pp. 157–163.
- ↑ Hewlett & Anderson 1962, pp. 36–38.
- ↑ 23.0 23.1 Hewlett & Anderson 1962, pp. 46–49.
- ↑ Hewlett & Anderson 1962, pp. 50–51.
- ↑ Hewlett & Anderson 1962, pp. 54–55.
- ↑ Hewlett & Anderson 1962, pp. 74–75.
- ↑ Hewlett & Anderson 1962, p. 103.
- ↑ Hewlett & Anderson 1962, pp. 190–191.
- ↑ Hewlett & Anderson 1962, pp. 304–310.
- ↑ "Recommendations on the Immediate Use of Nuclear Weapons". nuclearfiles.org. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-12-22. สืบค้นเมื่อ July 27, 2013.
- ↑ 31.0 31.1 31.2 Allison 1965, p. 93.
- ↑ Pfeiffenberger, Amy M. (Winter 1989). "Democracy at Home: The Struggle to Desegregate Washington University in the Postwar Era". Gateway-Heritage. Missouri Historical Society. 10 (3): 17–24.
- ↑ "Two-Stage Models for Free Will". The Information Philosopher. สืบค้นเมื่อ July 27, 2013.
- ↑ 34.0 34.1 Compton 1967, p. 121.
- ↑ Compton, A. H. (August 14, 1931). "The Uncertainty Principle and Free Will". Science. 74 (1911): 172. Bibcode:1931Sci....74..172C. doi:10.1126/science.74.1911.172. PMID 17808216.
- ↑ "อาร์เทอร์ คอมป์ตัน". Find a Grave. สืบค้นเมื่อ July 27, 2013.
- ↑ "Compton, Arthur H., House". National Historic Landmark summary listing. National Park Service. สืบค้นเมื่อ July 27, 2013.
- ↑ Allison 1965, p. 97.
- ↑ "Compton". Tangient LLC. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-08-02. สืบค้นเมื่อ July 27, 2013.
- ↑ "Arthur Holly Compton Laboratory of Physics". Washington University. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-01-25. สืบค้นเมื่อ July 27, 2013.
- ↑ "Compton House". University of Chicago. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2005-12-01. สืบค้นเมื่อ July 27, 2013.
- ↑ St. Louis Walk of Fame. "St. Louis Walk of Fame Inductees". stlouiswalkoffame.org. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-10-31. สืบค้นเมื่อ 25 April 2013.
- ↑ "The CGRO Mission (1991–2000)". NASA. สืบค้นเมื่อ July 27, 2013.
อ้างอิง
[แก้]- Allison, Samuel K. (1965). "Arthur Holly Compton 1892–1962". Biographical Memoirs. National Academy of Sciences. 38: 81–110. ISSN 0077-2933. OCLC 1759017.
- Gamow, George (1966). Thirty Years That Shook Physics: The Story of Quantum Theory. Garden City, New York: Doubleday. ISBN 0-486-24895-X. OCLC 11970045.
- Hewlett, Richard G.; Anderson, Oscar E. (1962). The New World, 1939–1946 (PDF). University Park: Pennsylvania State University Press. ISBN 0-520-07186-7. OCLC 637004643. สืบค้นเมื่อ March 26, 2013.
- Hockey, Thomas (2007). The Biographical Encyclopedia of Astronomers. Springer Publishing. ISBN 978-0-387-31022-0. OCLC 263669996. สืบค้นเมื่อ August 22, 2012.
แหล่งข้อมูลอื่น
[แก้]- "Strange Instrument Built to Solve Mystery of Cosmic Rays", April 1932, Popular Science article about Compton on world wide research on cosmic rays
- Arthur Compton biographical entry เก็บถาวร 2013-03-03 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน at Washington University in Saint Louis
- Annotated bibliography for Arthur Compton from the Alsos Digital Library for Nuclear Issues เก็บถาวร 2005-11-25 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
- Arthur Holly Compton on Information Philosopher
- Nobelprize.com Biography
- Biography and Bibliographic Resources from the Office of Scientific and Technical Information, United States Department of Energy
- อาร์เทอร์ คอมป์ตัน ที่ไฟน์อะเกรฟ
- National Academy of Sciences Biographical Memoir