ยุทธการที่การองตอง
บทความนี้ต้องการการจัดหน้า จัดหมวดหมู่ ใส่ลิงก์ภายใน หรือเก็บกวาดเนื้อหา ให้มีคุณภาพดีขึ้น คุณสามารถปรับปรุงแก้ไขบทความนี้ได้ และนำป้ายออก พิจารณาใช้ป้ายข้อความอื่นเพื่อชี้ชัดข้อบกพร่อง |
ยุทธการที่การองตอง | |||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|
ส่วนหนึ่งของ ปฏิบัติการโอเวอร์ลอร์ด, ยุทธการที่นอร์ม็องดี | |||||||
แผนการของการโจมตี, ยุทธการที่การองตอง | |||||||
| |||||||
คู่สงคราม | |||||||
สหรัฐอเมริกา | ไรช์เยอรมัน | ||||||
ผู้บังคับบัญชาและผู้นำ | |||||||
แม็กซ์เวลล์ ดี. เทย์เลอร์ แอนโทนี่ แมคออลีฟฟ์ มอริส โรส โรเบิร์ต ซิงก์ |
ฟรีดริช ฟอน เดอร์ เฮย์ดท์ แวร์เนอร์ ออสเตนดอร์ฟ | ||||||
หน่วยที่เกี่ยวข้อง | |||||||
กองพลขนส่งทางอากาศที่ 101 |
| ||||||
กำลัง | |||||||
11 กองพันทหารราบพลร่ม 1 กองพันรถถัง 1 กองพันทหารราบยานเกราะ |
2 กองพันทหารราบพลร่ม 2 กองพันทหารราบองครักษ์ . 2 กองพันทหารองครักษ์ยานเกราะ . 1 กองพันรถถัง กับอาวุธจู่โจม | ||||||
ความสูญเสีย | |||||||
อย่างน้อยที่สุด 400 นายเสียชีวิต (KIA) บาดเจ็บหลายร้อยนาย | 800+ เสียชีวิต (KIA) |
ยุทธการที่การองตองเป็นการสู้รบในสงครามโลกครั้งที่สองระหว่างกองกำลังทหารโดดร่มแห่งกองทัพสหรัฐและกองทัพเวร์มัคท์ของเยอรมันในช่วงยุทธการที่นอร์ม็องดี การรบครั้งนี้ได้เกิดขึ้นในช่วงระหว่างวันที่ 10 และ 15 มิถุนายน ค.ศ. 1944 เมื่อเข้าใกล้และภายในเมืองของการองตอง (carentan) ประเทศฝรั่งเศส[1]
เป้าหมายของการโจมตีของกองกำลังอเมริกันคือการรวบรวมหัวหาดของสหรัฐ(หาดยูทาห์และหาดโอมาฮา)และจัดตั้งแนวป้องกันอย่างต่อเนื่องต่อการโจมตีตอบโต้กลับของเยอรมัน กองกำลังป้องกันของเยอรมันได้พยายามที่รักษาเมืองไว้ให้ได้นานที่สุดพอที่จะช่วยให้มีการเสริมกำลังในระหว่างทางไปยังทางใต้ การขัดขวางหรือระงับการรวมที่พักและให้กองทัพสหรัฐที่ 5 ทำการเปิดฉากโจมตีไปยังเมือง Lessay-Périers เพื่อที่จะปิดล้อมทางแหลมโคเตนติน
การองตองได้รับการป้องกันโดยสองกองพันจากกรมทหารฟัลเชียร์มเยเกอร์ที่ 6 (กรมทหารโดดร่มที่ 6) ของกองพลฟัลเชียร์มเยเกอร์ที่ 2 และสองกองพันหน่วยทหารตะวันออก (Ostlegionen-ทหารที่ไม่ใช่ชาวเยอรมันแต่เป็นชาวต่างชาติ เช่น รัสเซีย ตุรกี ยูเครน เป็นต้น) กองพลเอ็สเอ็ส-พันเซอร์แกรนาเดียร์ที่ 17 ได้รับคำสั่งให้เสริมกำลังไปที่คาร์เรนทัน แต่กลับล่าช้าเพราะขาดแคลนทางด้านการขนส่งและถูกโจมตีโดยเครื่องบินรบฝ่ายสัมพันธมิตร การโจมตีของกองพลโดดร่มที่ 101 ได้ลงสู่พื้นดินโดยร่มชูชีพเมื่อวันที่ 6 มิถุนายนซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการโดดร่มของอเมริกาลงสู่นอร์ม็องดี ได้รับคำสั่งให้ทำการยึดครองเมืองคาร์เรนทัน
ในการสู้รบที่ตามมา กองพลโดดร่มที่ 101 ได้ถูกบังคับให้เดินทางผ่านเส้นทางหลวงเข้าสู่การองตองเมื่อวันที่ 10 และ 11 มิถุนายน ด้วยขาดแคลนกระสุนทำให้กองกำลังเยอรมันต้องถูกบังคับถอนกำลังเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน กองพลเอ็สเอ็ส-พันเซอร์แกรนาเดียร์ที่ 17 ได้โจมตีตอบโต้กลับไปยังกองพลโดดร่มที่ 101 เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน ด้วยประสบผลสำเร็จขั้นแรก การโจมตีได้ถูกย้อนกลับโดยกองบัญชาการรบ A (CCA) ของกองพลยานเกราะที่ 2 ของสหรัฐ
การรบ
[แก้]ในวันที่ 9 มิถุนายน พลร่ม 101st รวมพลกัน โดยมีกองพันทหารราบพลร่มที่ 502 เฝ้าระวังแนวด้านขวาตามแนวแม่น้ำ Douve กองพันทหารราบพลร่มที่ 506 ออกข้ามถนนการองตองและกองพันทหารราบเครื่องร่อนที่ 327 ในตำแหน่งซ้ายตามแนวแม่น้ำ Douve ตรงข้าม Brévands กองพันทหารราบพลร่มที่ 501 กลายเป็นกองกำลังสำรองของกองพลและเฝ้าคุ้มกันแนงฝั่งซ้ายตะวันออกของ กองพันทหารราบเครื่องร่อนที่ 327.
จากการสอดแนมทางอากาศและลาดตระเวนระบุไว้ว่าเมืองการองตองมีการป้องกันที่บาง แผนจู่โจมยึดเมืองก็ถูกคิดค้นโดยการโอบล้อมเมืองสองรอบแนว โดยมีกองพันทหารราบพลร่มที่ 502 อยู่ฝั่งขวาและมี กองพันทหารราบเครื่องร่อนที่ 327 อยู่ฝั่งซ้าย โดยมีการวางแผนการโดดร่มหลังเที่ยงคืนวันที่ 10
ภารกิจของกองพันทหารราบพลร่ม 502 คือยึดครองสะพานและพื้นที่ราบสูงในทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองจนถึงถนน Périre (เนินเขาที่ 30) จนถึงแนวถอนกำลัง
ภารกิจของกองพันทหารราบเครื่องล่อนที่ 327 คือข้ามแม่น้ำ Douve ที่ Brévands วนไปจนถึงตะวันออกและเข้ามาในถนนตะวันตกจาก Isigny และเข้าเมือง
ถนนเลนส์ Purple Heart, วันที่ 10
[แก้]กองพันทหารราบพลร่มที่ 502, กองพันเล็กที่ 3 ที่นำการจู่โจมภายใต้ พันโท Robert G. Cole พบว่าสะพานที่ 2 เสียหายอย่างหนัก และ ทหารช่างที่รับหน้าที่โดนถล่มยิงกดจาก ปืน 88 มม. พันโทส่ง ร้อยตรี Ralph B. Gehauf และกองกำลังลาดตระเวนนั่งเรือข้ามแม่น้ำ พวกเขาหาทางต่อสู้จนมาถึงสะพานสุดท้ายแต่พบว่าสะพานถูกกีดกันโดย Belgian gate. กองกำลังลาดตระเวนทำได้แค่ดันมันไปเพียงแค่ 18 นิ้ว พอสำหรับทหารหนึ่งคนที่จะเดินเข้าไป ต่อมากองกำลังลาดตระเวนถูกบดบังวิสัยทัศน์ สับสน และ ถูกยิงกด โดยแฟลร์ ปืนครก และ ปืนกล และกองกำลังลาตระเวนก็ได้เคลื่อนพลกลับไปตอน 05:30 นาฬิกา การจู่โจมจึงถูกเลื่อนเวลา. แสงปืนส่วนใหญ่มาจากบ้านไร่หลังใหญ่และแนว Hedgehog บนที่ราบสูงห่างจากถนนพ้นสะพานที่ 4 มา 250 หลา
หน่วยกองพันเล็กที่ 1 และ 2 ของกองพันทหารราบเครื่องร่อนที่ 327 ข้ามแม่น้ำ Douve river ในตอนเช้าของวันที่ 10 กองพันเล็กที่ 1 ได้รับความเสียหายจากปืนครกฝั่งเดียวกันเองระหว่างข้ามแม่น้ำด้วยเรือยาง บางหน่วยเดินลุยน้ำ
เมื่อมาถึงฝั่งตะวันออกในตอนเช้าสาย กองพัน 327 พุ่งหน้าสู่ Catz กองพันเล็กที่ 1 เข้าโจมตีทิศใต้ของถนน Isigny ส่วนกองพันเล็กที่ 2 เข้าโจมตีทิศเหนือของถนนโดยมี กองร้อย G ของกองพันเล็กที่ 2 นำการโจมตี กองพันได้รับความเสียหายอย่างหนักเมื่อเข้าใกล้ตัวเมืองการองตอง กองร้อย G จึงถูกย้ายไปยังกองกำลังสำรองและถูกเปลี่ยนคำสั่งให้ขึ้นตรงกับกองพันเล็กที่ 3 ของ กองพัน 327 (401) ในช่วงเวลาสายๆของวันที่ 11 กองร้อย A ของกองพัน 401 (3Bn) และกองร้อย G ของกองพัน 327 เข้าโจมตีทางทิศใต้อีกครั้งจนถึง the Bassin a Flot และได้รับความเสียหายอย่างหนัก
เวลา 01:45 นาฬิกา กองพันเล็กที่ 1 ของ กองพัน 327 เคลื่อนพลข้ามสะพาน จนกระทั่ง 06:00 นาฬิกา มีการระดมยิงปืนใหญ่ไป ณ รอบๆบริเวณของกองพัน
กองพันสามารถข้ามสะพานและเข้ายึด Brévands ได้และเคลื่อนพลไป 5 กิโลเมตรทางเหนือและใต้ กองร้อย A ของกองพัน 401 ร่วมมือกับกองพลตั้งแถวซ้ายและพุ่งหน้าไปยัง Auville-sur-le-Vey เพื่อที่จะรวมพลกับ กองพลทหารราบที่ 29 กองพัน 327 ไม่ได้ยิงจนกระทั่งเข้ามาถึงสะพานคลอง the Vire-Taute ทิศตะวันออกของการองตอง ณ เวลา 18:00 นาฬิกา ก็ได้รบกับกองพันเยอรมัน 2 กองพันบนแนวจนยึดฝั่งตะวันออกได้ในที่สุด ณ เวลาเที่ยงคืน
สะพานที่แม่น้ำ Douve ก็ยังไม่ซ่อมแซมจนกองพันเล็กที่ 3 ของกองพัน 502 กลับมาในตอนบ่าย พลร่มหาอุปกรณ์การช่างช่วยกันซ่อมสะพานและได้รุกคืบต่อไปไม่นานหลังจากเวลา 13:00 นาฬิกา เคลื่อนพลด้วยแถวตอนลึกและบุกด้วยการหมอบคลาน กองพันถึงสะพานที่ 4 เมื่อเวลา 16:00 นาฬิกา โดยที่มีหน่วยส่วนใหญ่ที่ข้ามสะพานที่ 3 มาแล้วอยู่ภายใต้การระดมยิงของ ปืนครก ปืนใหญ่ สไนเปอร์ และ ปืนกล ทันทีที่พวกเขาอยู่ในระยะยิงของเยอรมัน ความเสียหายของกองพันเยอะขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งตกกลางคืนการบุกก็ได้จบลงแต่ความเสียหายยังมีอยู่ ณ เวลา 23:30 นาฬิกา ยู 87 ชตูคา 2 ลำบินต่ำและกระหน่ำยิงทหารอเมริกันจนถึงแก่ชีวิตประมาณ 30 นาย และทำให้กองร้อย I ปฏิบัติการไม่ได้อีกในการรบ
มีความเสียหายมากถึง 67% จากกองกำลังเดิมก่อนรบจึงกลายเป็นชื่อ ถนนเลนส์ Purple Heart มาจากเส้นทางไปการองตอง ถนน Sainte-Mère-Église
เบื้องหลัง
[แก้]ปฏิบัติการโอเวอร์ลอร์ด
[แก้]วันที่ 6 มิถุนายน ค.ศ.1944 ฝ่ายพันธมิตรเริ่มปฏิบัติการโจมตีทางด้านอากาศและการบุกรุกรานสะเทินนํ้าสะเทินบกของนอร์ม็งดี ใช้ชื่อรหัสว่า ปฏิบัติการโอเวอร์ลอร์ด กองพลทหารร่มทางอากาศที่ 101ได้ลงพื้นที่ด้านหลังหาดยูทาห์โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อปิดกั้นกองกำลังเสริมของเยอนมันไม่ให้โจมตีการขนาบข้างของเหล่ากองพลสหรัฐที่7ในระหว่างภารกิจหลักในการยึดท่าเรือของแชร์บูร์ก กองพลร่อนได้ลงพื้นที่โดยเครื่องร่อนและเรือในวันที่ 6 และ 7 มิถุนายน
การรวบรวมหัวหาดของสหรัฐอเมริกาที่หาดยูทาห์และหาดโอมาฮาเป็นเป้าหมายD-Dayในการบุกสะเทินนํ้าสะเทินบก แต่ไม่ประสบผลสำเร็จเนื่องจากการต้านทานของเยอรมันอย่างหนักที่หาดโอมาฮาอีกอย่างหน่วยข่าวกรองของกลุ่มสัมพันธ์ยังเชื่อว่าหน่วยทหารของเยอรมันกำลังรวมพลกันเพื่อผลักดันให้เกิดช่องระหว่างพวกเขา การใช้คำสั่งปฏิติการของทั้งกองทัพสหรัฐที่ 1 และกองทัพบริติชที่ 2 ในฐานะผู้บัญชาการทหารบก นายพลเบอร์นาร์ด มอนต์โกเมอรีแห่งบริติชได้ออกคำสั่งให้กองพลของนายพลโทโอมาร์ แบรดลีย์ทำการรวมพลต่อทั้งสองแบบรวดเร็วกัน เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน ผู้บัญชาการทหารสูงสุดแห่งสัมพันธ์มิตรดไวต์ ดี. ไอเซนฮาวร์ที่หาดโอมาฮาได้เห็นด้วยกับการออกคำสั่งของนายพลเบอร์นาร์ด มอนต์โกเมอรีที่ให้ "ความพยายามที่เข้มแข็ง" นายพลโทโอมาร์ แบรดลีย์ที่ยังไม่ได้อยู่ในการคำสั่งปฏิติการเพียงแค่ได้รับการอัปเดตเกี่ยวกับการสู้รบสงครามจากในสายโทรศัพท์ทุกประจำวันจากเสนาธิการกลุ่มกองทัพที่ 21
อ้างอิง
[แก้]- ↑ "Battle to Control Carentan During World War II". History Net. สืบค้นเมื่อ 2013-06-24.
- ↑ "The Battle For Carentan (8–15 June)". Utah Beach to Cherbourg. American Forces in Action. United States Army Center of Military History. 1991 [1948]. CMH Pub 100-12. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 16 September 2009. สืบค้นเมื่อ 9 July 2010.