ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ประเทศเบลเยียม"
Kinkku Ananas (คุย | ส่วนร่วม) |
Kinkku Ananas (คุย | ส่วนร่วม) |
||
บรรทัด 125: | บรรทัด 125: | ||
== ประชากร == |
== ประชากร == |
||
ในปี[[พ.ศ. 2549]] เบลเยียมมีประชากรประมาณ 10.5 ล้านคน โดยอาศัยอยู่ใน[[เขตฟลามส์]]ราว 6 ล้านคน [[เขตวัลลูน]]ราว 3.4 ล้านคน และราว 1 ล้านคนใน[[เขตเมืองหลวงบรัสเซลส์|เขตเมืองหลวง]] คิดเป็นความหนาแน่นทั้งประเทศ 344 คนต่อตารางกิโลเมตร เขตเทศบาลที่มีผู้อยู่อาศัยมากได้แก่ [[แอนต์เวิร์ป]] (4.66 แสนคน) [[เกนต์]] (2.35 แสนคน) [[ชาร์เลอรัว]] (2 แสนคน) [[ลีเอช]] (1.88 แสนคน) [[บรัสเซลส์]] (1.45 แสนคน) เป็นต้น<ref name="popstats">[http://statbel.fgov.be/figures/d21_nl.asp Structuur van de bevolking] Federale Overheidsdienst Economie เรียกข้อมูลวันที่ 26 ต.ค. 2550 {{nl icon}}</ref> |
|||
ประชากร ประมาณ 10.27 ล้านคน เป็นชาวเฟลมมิช 58% ชาววัลลูน 31% และชาวเยอรมนีและอื่น ๆ 11% |
|||
== อ้างอิง == |
== อ้างอิง == |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 20:23, 25 กันยายน 2550
ราชอาณาจักรเบลเยียม | |
---|---|
Coat of arms
| |
เพลงชาติ: "La Brabançonne" (The Song of Brabant) | |
เมืองหลวง | บรัสเซลส์ |
เมืองใหญ่สุด | บรัสเซลส์และแอนต์เวิร์ป1 |
ภาษาราชการ | ภาษาดัตช์ ภาษาฝรั่งเศส และภาษาเยอรมัน |
การปกครอง | สหพันธรัฐราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ |
• กษัตริย์ | สมเด็จพระราชาธิบดีอัลแบร์ที่ 2 |
กาย แวร์ฮอฟชตัดท์ | |
เอกราช จาก เนเธอร์แลนด์ | |
• ประกาศ | 4 ตุลาคม พ.ศ. 2373 |
19 เมษายน พ.ศ. 2382 | |
6.4 | |
ประชากร | |
• 2548 ประมาณ | 10,419,000 (77) |
• สำมะโนประชากร 2544 | 10,296,350 |
จีดีพี (อำนาจซื้อ) | 2547 (ประมาณ) |
• รวม | 316.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (30) |
• ต่อหัว | 31,400 ดอลลาร์สหรัฐ (12) |
เอชดีไอ (2547) | 0.945 สูงมาก · 13 |
สกุลเงิน | ยูโร (€]])2 (EUR) |
เขตเวลา | UTC+1 (CET) |
• ฤดูร้อน (เวลาออมแสง) | UTC+2 (CEST) |
รหัสโทรศัพท์ | 32 |
โดเมนบนสุด | .be3 |
1บัรสเซลส์เป็นเขตเมืองที่ใหญ่ที่สุด ส่วนแอนต์เวิร์ปเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดโดยมีสถานะตามกฎหมาย 2ก่อนปี พ.ศ. 2542 ใช้ฟรังก์เบลเยียม 3และยังใช้ .eu ร่วมกับรัฐสมาชิกอื่น ๆ ในสหภาพยุโรป |
ราชอาณาจักรเบลเยียม เป็นประเทศในยุโรปตะวันตกเฉียงเหนือ มีอาณาเขตติดต่อกับประเทศเนเธอร์แลนด์ เยอรมนี ลักเซมเบิร์ก ฝรั่งเศส และทะเลเหนือ เบลเยียมเป็นสมาชิกรุ่นก่อตั้งของสหภาพยุโรป และเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ เช่นเดียวกับของอีกหลายองค์กรระหว่างประเทศรวมถึงองค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ
เบลเยียมมีความหลากหลายทางภาษาค่อนข้างสูง ส่งผลต่อระบบการปกครองที่ค่อนข้างซับซ้อน เบลเยียมแบ่งออกเป็นสองภูมิภาคใหญ่ๆ ได้แก่ฟลานเดอร์ ซึ่งประชากรส่วนใหญ่พูดภาษาดัตช์ และวัลโลเนีย ซึ่งประชากรส่วนใหญ่พูดภาษาฝรั่งเศส บรัสเซลส์ เมืองหลวงของเบลเยียม เป็นเขตทวิภาษา ตั้งอยู่ในฟลานเดอร์ นอกจากนี้ยังมีชุมชนที่พูดภาษาเยอรมันในทางตะวันออกของวัลโลเนียด้วย
คำว่าเบลเยียม (Belgium ในภาษาอังกฤษ België และ Belgique ในภาษาดัตช์และฝรั่งเศส) มีที่มาจาก Gallia Belgica ซึ่งเป็นจังหวัดในยุคโรมัน มีกลุ่มชาว Belgae อยู่อาศัย
ประวัติศาสตร์
มีหลักฐานการดำรงอยู่ของชุมชนโบราณมานานมากกว่า 2,000 ปีโดยขุดพบโครงกระดูกมนุษย์และภาพเขียนโบราณในถ้ำตอนกลางของประเทศริมฝั่งแม่น้ำเมิส (la Meuse)
ในปีพ.ศ. 600 จูเลียส ซีซาร์ขยายอำนาจของจักรวรรดิโรมันมายังดินแดนเบลเยียมปัจจุบัน โดยเอาชนะชนเผ่าเคลติกที่ชื่อ Belgae และก่อตั้งเป็นจังหวัด Gallia Belgica ต่อมาในช่วงพุทธศตวรรษที่ 10 ดินแดนแถบนี้ก็ตกไปอยู่ในกา่รควบคุมของชนเผ่าแฟรงก์ ก่อตั้งราชวงศ์ Merovingian[1] พระเจ้าโคลวิสที่ 1 ทรงรับคริสต์ศาสนาเข้ามาสู่้อาณาจักร หลังจากยุคของโคลวิสแล้ว อาณาจักรของพวกแฟรงก์ก็เริ่มแตก จนกระทั่งถึงยุคของพระเจ้าชาร์เลอมาญ ซึ่งครองราชย์ตั้งแต่ปีพ.ศ. 1311 จนถึง 1357 ซึ่งได้รวบรวมอาณาจักรแฟรงก์ ปกครองพื้นที่ส่วนใหญ่ของยุโรป
หลังจากพระเจ้าชาร์เลอมาญสิ้นพระชนม์ อาณาจักรก็ถูกแบ่งออกเป็นส่วนๆ พื้นที่ส่วนใหญ่ของเบลเยียมปัจจุบันเป็นของพระเจ้าโลแธร์ ซึ่งปกครองอาณาจักรกลาง ในขณะที่ส่วนที่เหลือตกเป็นของฝรั่งเศส อาณาจักรกลางภายหลังตกไปอยู่ภายใต้กษัตริย์เยอรมันของอาณาจักรตะวันออก ดินแดนเบลเยียมถูกแบ่งออกเป็นรัฐขุนนางเล็กๆจำนวนมาก ซึ่งต่อมารวบรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของเบอร์กันดี หลังจากการอภิเษกสมรสของพระนางแมรีแห่งเบอร์กันดีกับเจ้าชายมักซิมิลันจากราชวงศ์ฮับส์บูร์ก ซึ่งต่อมาขึ้นเป็นจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิโรมันศักดิ์สิทธิ์ ดินแดนเบลเยียมซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเนเธอร์แลนด์ได้ตกทอดไปถึงพระเจ้าชาลส์ที่ 1 แห่งสเปน พระนัดดาของพระเจ้ามักซิมิลัน
ในรัชสมัยของพระเจ้าเฟลิเปที่ 2 แห่งสเปน พระราชโอรสของพระเจ้าชาลส์ ได้เกิดความขัดแย้งทางศาสนาระหว่างนิกายโรมันคาทอลิกและนิกายโปรเตสแตนต์ โดยพระเจ้าเฟลิเปพยายามที่จะปราบปรามนิกายโปรเตสแตนต์ ดินแดนทางตอนเหนือ ซึ่งสนับสนุนนิกายโปรเตสแตนต์ รวมตัวกันเป็นสาธารณรัฐเนเธอร์แลนด์ ในขณะที่ดินแดนทางใต้ ประกอบด้วยเบลเยียมและลักเซมเบิร์กในปัจจุบัน ยังอยู่ภายใต้การปกครองของสเปน เรียกชื่อว่าเนเธอร์แลนด์ใต้
ต่อมา ฝรั่งเศสได้ขึ้นเป็นมหาอำนาจในยุโรป พื้นที่ประเทศต่ำได้เป็นสนามรบ เบลเยียมได้เปลี่ยนมือไปยังออสเตรีย จนกระทั่งหลังการปฏิวัติฝรั่งเศส สาธารณรัฐฝรั่งเศสที่ 1ได้ยึดเบลเยียมในปีพ.ศ. 2338 ยุติการปกครองของสเปนและออสเตรียในบริเวณนี้ หลังจากการสิ้นสุดของจักรวรรดิฝรั่งเศสของนโปเลียน กลุ่มประเทศต่ำได้รวมกันอีกครั้งเป็นสหราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ ในปีพ.ศ. 2358
เกิดการปฏิวัติในเบลเยียมในปีพ.ศ. 2373 ก่อตั้งเป็นรัฐเอกราช และเลือกเจ้าชายเลโอโปลด์จากราชวงศ์แซ็กซ์-โคบูร์กและโกธา ขึ้นครองราชย์เป็นสมเด็จพระเจ้า่เลโอโปลด์ที่ 1 โดยมีการปกครองในระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญและประชาธิปไตยแบบรัฐสภาในปีพ.ศ. 2374
เบลเยียมได้รับคองโกเป็นอาณานิคมในปีพ.ศ. 2451 จากที่เคยเป็นดินแดนส่วนพระองค์ของสมเด็จพระเจ้าเลโอโปลด์ที่ 2 เยอรมนีเข้ารุกรานเบลเยียมในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เบลเยียมเข้าครอบครองรวันดา-อุรุนดี (ปัจจุบันคือประเทศรวันดาและบุรุนดี) ซึ่งเป็นอาณานิคมของเยอรมนีในช่วงสงคราม เบลเยียมถูกรุกรานจากเยอรนีอีกครั้งในสงครามโลกครั้งที่สอง จนกระทั่งถูกปลดปล่อยโดยกองทัพสัมพันธมิตร คองโกได้รับเอกราชในปีพ.ศ. 2503 ในขณะที่รวันดา-อุรุนดีได้รับในอีกสองปีถัดมา
หลังจากสงครามโลกครั้งที่สอง เบลเยียมเข้าร่วมนาโต ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ที่บรัสเซลส์ และจัดตั้งกลุ่มเบเนลักซ์ร่วมกับเนเธอร์แลนด์และลักเซมเบิร์ก[1] เบลเยียมเป็นหนึ่งในหกสมาชิกก่อตั้งของประชาคมถ่านหินและเหล็กยุโรปในปีพ.ศ. 2494 และในปีพ.ศ. 2500 ก่อตั้งประชาคมพลังงานปรมาณูยุโรปและประชาคมเศรษฐกิจยุโรป ซึ่งต่อมาคือสหภาพยุโรป เบลเยียมเป็นที่ตั้งของหน่วยงานหลายอย่างของสหภาพ อาทิเช่น คณะกรรมาธิการยุโรป คณะมนตรีแห่งสหภาพยุโรป เป็นต้น
การเมืองการปกครอง
เบลเยียมมีระบอบการปกครองแบบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญและประชาธิปไตยแบบรัฐสภา พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขแห่งรัฐ ซึ่งพระองค์ปัจจุบันคือสมเด็จพระราชาธิบดีอัลแบร์ที่ 2 ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง การปกครองของเบลเยียมนั้นมีเน้นไปทางอำนาจปกครองตนเองของสองชุมชนหลัก ซึ่งมีมีปัญหาความแตกแยกจากความแตกต่างทางภาษา[2] ในปีพ.ศ. 2536 ได้มีการปรับปรุงรัฐธรรมนูญครั้งสำคัญ โดยบัญญัติให้เบลเยียมเป็นสหพันธรัฐ หลังจากเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงมาตั้งแต่พ.ศ. 2513[3]
รัฐสภากลางของเบลเยียมนั้นใช้ระบบสภาคู่ โดยประกอบด้วยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ดัตช์: de Kamer van Volksvertegenwoordigers; ฝรั่งเศส: la Chambre des Représentants) และวุฒิสภา (ดัตช์: de Senaat; ฝรั่งเศส: le Sénat) วุฒิสภานั้นประกอบด้วยนักการเมืองที่ได้รับการเลือกตั้งโดยตรง 40 คน และอีก 21 คนแต่งตั้งโดยสภาชุมชนสามสภา สภาผู้แทนราษฎรประกอบด้วยสมาชิก 150 คนจากเขตเลือกตั้ง 11 เขต เบลเยียมนั้นมีการกำหนดการเลือกตั้งเป็นหน้าที่ของประชาชน โดยเริ่มต้นตั้งแต่ปีพ.ศ. 2435[4]
การแบ่งเขตการปกครอง
ชาววัลลูนและชาวฟลามส์ในเบลเยียมมีความแตกต่างกันทั้งทางภาษา ภูมิศาสตร์ เศรษฐกิจและการเมือง ในปี พ.ศ. 2511 ความตึงเครียดระหว่างประชากรในพื้นที่ที่ใช้ภาษาดัตช์และที่ใช้ภาษาฝรั่งเศสได้ทวีความรุนแรงขึ้น จนบางครั้งถึงขั้นจลาจล สถานการณ์นี้นำไปสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญให้มีรูปแบบการปกครองแบบสหพันธรัฐ-ราชอาณาจักร โดยแบ่งออกเป็นสามภูมิภาค คือ เขตฟลามส์ เขตวัลลูน และเขตเมืองหลวงบรัสเซลส์ แต่ละแคว้นมีรัฐบาลท้องถิ่นปกครองตนเอง และมีรัฐบาลกลางบริหารประเทศโดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
การปกครองของเบลเยียมแบ่งออกเป็นสามระดับ ได้แก่ รัฐบาลสหพันธรัฐ มีศูนย์กลางอยู่ที่บรัสเซลส์ ชุมชนภาษาสามชุมชน ได้แก่ ฟลามส์ ฝรั่งเศส และเยอรมัน และสามภูมิภาค ได้แก่ เขตฟลามส์ หรือฟลานเดอร์ เขตวัลลูน หรือวัลโลเนีย และเขตเมืองหลวงบรัสเซลส์
โดยฟลานเดอร์และวัลโลเนียแบ่งออกเป็นจังหวัดต่าง ๆ ดังนี้
แคว้นฟลานเดอร์ (Flanders) | แคว้นวัลโลเนีย (Wallonia) |
แอนต์เวิร์ป (Antwerp) | เอโน (Hainaut) |
อีสต์แฟลนเดอส์ (East Flanders) | ลีแยช (Liège) |
เฟลมิชบราบานต์ (Flemish Brabant) | ลักเซมเบิร์ก (Luxembourg) |
ลิมเบิร์ก (Limburg) | นามูร์ (Namur) |
เวสต์แฟลนเดอส์ (West Flanders) | วัลลูนบราบานต์ (Walloon Brabant) |
ภูมิศาสตร์
เบลเยียมมีพรมแดนติดต่อกับประเทศฝรั่งเศส (620 กม.) เยอรมนี (167 กม.) ลักเซมเบิร์ก (148 กม.) และเนเธอร์แลนด์ (450 กม.)[5] มีพื้นที่รวม 30,528 ตารางกิโลเมตร เป็นพื้นน้ำ 250 กม.² ภูมิประเทศของเบลเยียมแบ่งออกเป็นสามส่วนใหญ่ๆ ได้แก่ที่ราบชายฝั่ง ที่ราบสูงกลาง และที่สูงอาร์เดนส์[6]
ภูมิอากาศชายฝั่งทะเลมีลักษณะชื้นและไม่รุนแรงนัก ในขณะที่ลึกเข้ามาในพื้นทวีปอุณหภูมิจะมีช่วงความเปลี่ยนแปลงสูงกว่า ในเขตที่สูงอาร์เดนส์มีฤดูร้อนที่ร้อนสลับกับฤดูหนาวที่หนาวเย็น ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยต่อเดือนในบรัสเซลส์ อยู่ระหว่าง 55 มิลลิเมตร ในเดือนกุมภาพันธ์ จนถึง 78 มิลลิเมตรในเดือนกรกฎาคม[7] จากรายงานของสหประชาชาติในปีพ.ศ. 2546 คุณภาพน้ำในแม่น้ำของเบลเยียมอยู่ในระดับต่ำสุดจากทั้งหมด 122 ประเทศ[8]
เศรษฐกิจ
เศรษฐกิจเบลเยียมมีลักษณะคือผลิตภาพของแรงงาน รายได้ประชาชาติ และการส่งออกต่อประชากรสูง เบลเยียมสนับสนุนเศรษฐกิจแบบเปิด และการขยายอำนาจของสหภาพยุโรปเพื่อรวมเศรษฐกิจของชาติสมาชิก เบลเยียมเข้าร่วมใช้สกุลเงินยูโรในปีพ.ศ. 2542 และทดแทนเงินฟรังก์เบลเยียมอย่างสมบูรณ์ในปีพ.ศ. 2545 เบลเยียมเข้าร่วมสหภาพศุลกากรและสกุลเงินกับประเทศลักเซมเบิร์กตั้งแต่ปีพ.ศ. 2465
เบลเยียมเป็นประเทศในภาคพื้นทวีปยุโรปประเทศแรกที่พบกับการปฏิวัติอุตสาหกรรม โดยมีการพัฒนาการทำเหมืองแร่้ ตีเหล็ก และอุตสาหกรรมสิ่งทอ หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ปรากฏการขยายตัวของอุตสาหกรรมเคมีและปิโตรเลียม วิกฤตการณ์น้ำมัน พ.ศ. 2516 และ พ.ศ. 2522 ส่งผลให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะตกต่ำ
ประชากร
ในปีพ.ศ. 2549 เบลเยียมมีประชากรประมาณ 10.5 ล้านคน โดยอาศัยอยู่ในเขตฟลามส์ราว 6 ล้านคน เขตวัลลูนราว 3.4 ล้านคน และราว 1 ล้านคนในเขตเมืองหลวง คิดเป็นความหนาแน่นทั้งประเทศ 344 คนต่อตารางกิโลเมตร เขตเทศบาลที่มีผู้อยู่อาศัยมากได้แก่ แอนต์เวิร์ป (4.66 แสนคน) เกนต์ (2.35 แสนคน) ชาร์เลอรัว (2 แสนคน) ลีเอช (1.88 แสนคน) บรัสเซลส์ (1.45 แสนคน) เป็นต้น[9]
อ้างอิง
- ↑ 1.0 1.1 History of Belgium visitbelgium.com เรียกข้อมูลวันที่ 26 ก.ค. 2550 (อังกฤษ)
- ↑
Morris, Chris (2005-05-13). "Language dispute divides Belgium". BBC News. สืบค้นเมื่อ 27 มิ.ย. 2550.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) (อังกฤษ) - ↑ Historical outline of the federalism in Belgium AWEX เรียกข้อมูลวันที่ 26 ก.ค. 2550 (อังกฤษ)
- ↑ Compulsory Voting IDEA เรียกข้อมูลวันที่ 26 ก.ค. 2550 (อังกฤษ)
- ↑ [ข้อมูลประเทศเบลเยียมจากเวิลด์แฟกต์บุก] เรียกข้อมูลวันที่ 23 ส.ค. 2550 (อังกฤษ)
- ↑ "Belgium." Encarta เรียกข้อมูลวันที่ 23 ส.ค. 2550(อังกฤษ)
- ↑ "Climate averages — Brussels". EuroWEATHER/EuroMETEO, Nautica Editrice Srl, Rome, Italy. สืบค้นเมื่อ 1 ก.ย. 2550.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) (อังกฤษ) - ↑ Pearce, Fred (2003-03-05). "Sewage-laden Belgian water worst in world". New Scientist. สืบค้นเมื่อ 1 ก.ย. 2550.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) (อังกฤษ) - ↑ Structuur van de bevolking Federale Overheidsdienst Economie เรียกข้อมูลวันที่ 26 ต.ค. 2550 (ดัตช์)