การสงครามจิตวิทยา
การสงครามจิตวิทยา (อังกฤษ: psychological warfare) คือ การสงครามที่ใช้ทฤษฎีทางด้านจิตวิทยาที่มุ่งเน้นต่อความคิดและความเชื่อของบุคคลและกลุ่มบุคคล โดยอาศัยการโฆษณาชวนเชื่อร่วมกับกิจกรรมทางจิตวิทยา สงครามจิตวิทยานั้นกระทำทั้งในยามสงบและยามสงครามทั้งฝ่ายข้าศึกและฝ่ายเดียวกัน รวมถึงฝ่ายเป็นกลางอีกด้วย ทั้งในด้านการเมืองและการทหาร ในระดับยุทธศาสตร์ ยุทธการ และระดับยุทธวิธี[1]
ตัวอย่างสงครามจิตวิทยาตามตำนานและเรื่องเล่าขาน
แก้สงครามกรุงทรอย ฝ่ายกรีกใช้กลศึกม้าไม้โทรจันในการเอาชนะกรุงทรอย โดยใช้วิธีการถอยทัพออกจากฝั่งของกรุงทรอยแล้วเอาทหารทุกนายขึ้นกองเรือไปแอบไว้ในเกาะใกล้ๆ และสร้างม้าไม้ขนาดยักษ์ไว้หนึ่งตัว และปล่อยทหารไว้หนึ่งคน เมื่อทหารทรอยเห็นว่าฝ่ายกรีกถอยทัพกลับไปหมดทั้งกองทัพแล้วจึงกราบทูลต่อกษัตริย์ในสมัยนั้น กษัตริย์พร้อมกับแม่ทัพ นายกองทั้งหลายจึงออกมาตรวจสอบ จึงได้พบม้าไม้ขนาดยักษ์กับทหารหนึ่งคน เมื่อทหารฝ่ายกรีกคนนี้ได้พบกับกษัตริย์จึงได้กราบทูลว่า "การที่ฝ่ายกรีกต้องถอยทัพนั้นทำให้เทพเจ้าพิโรธและฝ่ายกรีกเสียนายทหารไปมากมาย จึงได้สร้างม้าไม้ขนาดยักษ์นี้ไว้เพื่อเป็นการขอขมาต่อเทพเจ้าทั้งปวง" เมื่อฝ่ายกษัตริย์ได้ฟังก็เกิดการหลงเชื่อและให้นำมาไม้ขนาดยักษ์นี้เข้าเมือง แต่หารู้ไม่ว่าภายในม้าไม้ขนาดยักษ์นี้มีทหารของกรีกจำนวนหนึ่งแอบซ่อนอยู่ภายในท้องขนาดใหญ่ ตกดึกทหารที่อยู่ในท้องของม้าได้ออกมาเปิดประตูและส่งสัญญาณให้ทหารฝ่ายกรีกเข้าเมือง ทหารกรีกจึงได้สังหารทหารของฝ่ายทรอยและเผาเมืองจนสิ้น[2]
สงครามเยรูซาเล็ม ถูกบันทึกไว้ในคัมภีร์ไบเบิ้ล โดยบันทึกถึงวิธีการปกป้องเมืองเยรูซาเล็มของไกดอน (Gideon) จากพวกมิเดียไนท์ (Midianites) โดยไกดอนได้จัดทหารจำนวน 300 นายถือแตรเดี่ยวและคบไฟไปโอบล้อมค่ายของฝ่ายข้าศึกในเวลากลางคืน เมื่อถึงที่หมายไกดอนจึงให้ทหารทุกนายจุดคบไฟและเป่าแตรพร้อมกัน ทหารฝ่ายมิเดียไนท์จึงสะดุ้งตื่นและรบฆ่าฟันกันเองเพราะความตื่นตระหนก และไกดอนจึงถือโอกาสนี้สั่งให้ทหารทุกนายเข้าโจมตีซ้ำจึงได้รับชัยชนะอย่างเด็ดขาด
ตัวอย่างสงครามจิตวิทยาในประว้ติศาสตร์
แก้การปฏิวัติอเมริกา สหรัฐอเมริกาในสมัยก่อนถูกปกครองโดยประเทศอังกฤษในฐานะเมืองอาณานิคม เมื่อเกิดการปฏิวัติขึ้นฝ่ายอเมริกาได้ใช้สงครามจิตวิทยาโดยใช้ลักษณะคำชวนเชื่อในหมู่ชาวอเมริกาด้วยกันเอง โดยใช้คำกล่าวที่ว่า "จงอย่ากดขี่ข้าพเจ้า" และ "จงให้อิสรภาพแก่ข้าพเจ้าหรือไม่ก็ฆ่าข้าพเจ้าเสีย" ส่งผลให้ชาวอเมริกามีจิตสำนึก เกิดความรักชาติ และพร้อมสู้กับทหารอังกฤษจนตัวตาย ต่อมาคำกล่าวนี้ได้ขยายวงกว้างไปถึงหมู่ทหารอังกฤษด้วย ทหารอังกฤษจำนวนมากเสียขวัญและแปรพรรคมาร่วมต่อสู้กับฝ่ายอเมริกา สุดท้ายกองทัพอังกฤษจึงอ่อนกำลังลงและพ่ายแพ้ไปในที่สุด[3]
สงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 ทุกรัฐบาลของประเทศมหาอำนาจต่างๆ มีความพยามยามในการโน้มน้าวให้ประชาชนสนับสนุนสงคราม โดยใช้การโฆษณาและปลูกฝังแนวคิดในสื่อต่างๆ ได้แก่ ภาพยนตร์ แผ่นป้ายโฆษณา แผ่นพับ หนังสือ หนังสือพิมพ์ รายการวิทยุ ฯลฯ โดยแผ่นป้ายโฆษณานิยมนำมาใช้มากที่สุดเพราะผลิตได้ง่าย ราคาถูก และมีสีสันสะดุดตา[4][5][6]
ดูเพิ่ม
แก้อ้างอิง
แก้- ↑ คู่มือการสอนวิชาสงครามพิเศษ บทที่ 2 เรื่องการดำเนินการปฏิบัติการจิตวิทยา เก็บถาวร 2016-03-04 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า.
- ↑ มาลัย (จุฑารัตน์). ตำนานกรีก-โรมัน ฉบับสมบูรณ์. พิมพ์ครั้งที่ 4. กรุงเทพมหานคร : พิมพ์คำ, 2548.
- ↑ เกร็ดประวัติศาสตร์ สงครามประกาศอิสรภาพอเมริกัน (ค.ศ.1775)
- ↑ "วัฒนธรรมร่วมสมัยในสงครามโลกครั้งที่ 2 (สงครามสื่อ) จากเว็บไซต์ Dek-D.com". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-07-28. สืบค้นเมื่อ 2014-03-28.
- ↑ "บทความ เรื่อง ทำไมนาซีถึงต้องฆ่าชาวยิวจากเว็บไซต์ Unigang". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-03-29. สืบค้นเมื่อ 2014-03-28.
- ↑ อเมริกากับสงครามโลกครั้งที่ 1 จากเว็บไซต์ GotoKnow
แหล่งข้อมูลอื่น
แก้- วิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อเกี่ยวกับ การสงครามจิตวิทยา