อาครา
อาครา (ฮินดี: आगरा, Āgrā; อูรดู: آگرہ, อังกฤษ: Agra) เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำยมุนา ในรัฐอุตตรประเทศ ทางตอนเหนือของประเทศอินเดีย ตั้งอยู่ห่างจากเมืองลัคเนาซึ่งเป็นเมืองหลวงของรัฐไปทางทิศตะวันตกเป็นระยะทาง 363 กิโลเมตร (226 ไมล์) และ 200 กิโลเมตร (124 ไมล์) ทางทิศใต้ของกรุงนิวเดลี ด้วยประชากรทั้งหมดประมาณ 1.6 พันล้านคน ทำให้อาคราเป็นเมืองที่มีประชากรมากในอันดับที่ 4 ของรัฐอุตตรประเทศ และอันดับที่ 23 ในประเทศอินเดีย[11]
อาครา | |
---|---|
ตามเข็มนาฬิกาจากบน: ทัชมาฮาล; ป้อมอาครา; Guru ka Tal Gurdwara; สุสาน Mariam-uz-Zamani; อักบัร กา มักบะรา และJaswant Ki Chhatri | |
สมญา: นครทัช (ทัชนครี) | |
พิกัด: 27°11′N 78°01′E / 27.18°N 78.02°E | |
ประเทศ | อินเดีย |
รัฐ | อุตรประเทศ |
เขต | อาครา |
อำเภอ | อาครา[2] |
การปกครอง | |
• ประเภท | Municipal Corporation |
• องค์กร | Agra Municipal Corporation |
• นายกเทศมนตร[4] | Naveen Jain (บีเจพี) |
• Municipal commissioner | Nikhil Tikaram Funde[3] |
พื้นที่[5] | |
• มหานคร[1] | 121 ตร.กม. (47 ตร.ไมล์) |
ความสูง[6] | 170 เมตร (560 ฟุต) |
ประชากร (2011)[7] | |
• มหานคร[1] | 1,585,704 คน |
• อันดับ | ที่ 23 |
• รวมปริมณฑล[8] | 1,760,285 คน |
ภาษา | |
• ทางการ | ฮินดี[9] |
• เพิ่มเติม | อูรดู[9] |
• ภูมิภาค | พรัชภาษา |
เขตเวลา | UTC+5:30 (เวลามาตรฐานอินเดีย) |
รหัสโทรศัพท์ | 0562 |
ทะเบียนพาหนะ | UP-80 |
จีดีพีเฉลี่ย (อำเภออาครา) | Rs. 60,488.30 กรอร์ (2019-20)[10] |
สัดส่วนเพศ | 875 ♀ / 1000 ♂ |
การอ่านหนังสือออก | 73.11% |
เว็บไซต์ | เว็บไซต์อำเภออย่างเป็นทางการ |
อาคราได้รับการกล่าวถึงในมหากาพย์มหาภารตะ โดยมีชื่อเรียกว่า "อัครวนา" (Agrevana) แปลตามศัพท์สันสกฤตว่า "นครชายป่า"[12] และยังเกี่ยวข้องกับพระฤๅษีอังคีรส หนึ่งในสิบมหาฤๅษีของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู แต่ถ้าพูดถึงการสร้างเป็นเมืองนั้น ตำนานกล่าวว่าเกิดขึ้นในสมัยเจ้าเชื้อสายราชบุตรชื่อ "ราชปฎลสิงห์" (Raja Badal Singh) เมืองนี้เคยผ่านสมรภูมิครั้งใหญ่ ๆ เมื่อราวหนึ่งพันปีก่อน มีการเปลี่ยนผู้ครองเมืองเป็นระยะ กษัตริย์องค์แรกที่ย้ายเมืองหลวงจากเดลีไปยังอาคราได้แก่ "สุลต่านสิกันดร โลที" (Sultan Sikandar Lodi) เมื่อ ค.ศ. 1506 (ยุคกรุงศรีอยุธยา ก่อนเสียกรุงครั้งที่ 1) จนกระทั่งสิ้นพระชนม์ใน ค.ศ. 1517 "สุลต่านอิบราฮิม โลที" (Ibrahim Lodi) พระโอรส ปกครองอาคราต่อมาอีก 9 ปีจนกระทั่งพ่ายแพ้ในยุทธการแห่งปณิปัต (Battle of Panipat) ใน ค.ศ. 1526[13] จากนั้นมาระหว่าง ค.ศ. 1540 ถึง ค.ศ. 1556 เจ้าเชื้อสายอัฟกานิสถานได้เข้าปกครองเมืองแทนเริ่มจากเจ้าเชอร์ชาห์สุรี (Sher Shah Suri) และเจ้าเหมจันทร์วิกรมทิตย์ (Hem Chandra Vikramaditya) ราชาแห่งชาวฮินดู ก่อนที่จะเริ่มโด่งดังในฐานะเมืองหลวงของจักรวรรดิโมกุล อันยาวนานตั้งแต่ ค.ศ. 1556 ถึง 1658 อันเป็นช่วงกำเนิดของโบราณสถานสำคัญในปัจจุบัน เช่น ทัชมาฮาล ป้อมอาครา ฟาเตห์ปูร์ สิครี โบราณสถานโมกุลทั้งสามแห่งนี้ได้รับการประกาศให้เป็นแหล่งมรดกโลกโดยยูเนสโก
ภูมิอากาศ
แก้อาคราตั้งอยู่ในเขตภูมิอากาศกึ่งแห้งแล้ง (Semiarid climate) ประกอบด้วยฤดูหนาวที่ไม่รุนแรง ร้อนและแห้งแล้งในฤดูร้อน และฤดูมรสุม ซึ่งในฤดูมรสุมนั้น ในบริเวณเมืองอาครา จะไม่มีลมมรสุมที่แรงเหมือนในส่วนอื่น ๆ ของประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของภูมิอากาศแบบนี้ ตรงข้ามกันกับภูมิอากาศส่วนใหญ่ของอินเดีย ซึ่งเป็นภูมิอากาศแบบอบอุ่นชื้น (Humid subtropical climate)
ข้อมูลภูมิอากาศของเมืองอาครา รัฐอุตตรประเทศ ประเทศอินเดีย | |||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
เดือน | ม.ค. | ก.พ. | มี.ค. | เม.ย. | พ.ค. | มิ.ย. | ก.ค. | ส.ค. | ก.ย. | ต.ค. | พ.ย. | ธ.ค. | ทั้งปี |
อุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ย °C (°F) | 22.3 (72.1) |
25.5 (77.9) |
31.9 (89.4) |
37.9 (100.2) |
41.7 (107.1) |
40.7 (105.3) |
35.3 (95.5) |
33.2 (91.8) |
34.0 (93.2) |
34.0 (93.2) |
29.2 (84.6) |
23.9 (75) |
32.47 (90.44) |
อุณหภูมิต่ำสุดเฉลี่ย °C (°F) | 7.7 (45.9) |
10.3 (50.5) |
15.4 (59.7) |
21.5 (70.7) |
26.5 (79.7) |
28.9 (84) |
26.8 (80.2) |
25.7 (78.3) |
24.3 (75.7) |
19.1 (66.4) |
12.5 (54.5) |
8.2 (46.8) |
18.91 (66.04) |
ปริมาณฝน มม (นิ้ว) | 13.3 (0.524) |
17.7 (0.697) |
9.1 (0.358) |
6.7 (0.264) |
11.9 (0.469) |
55.7 (2.193) |
203.3 (8.004) |
241.1 (9.492) |
128.5 (5.059) |
25.2 (0.992) |
4.3 (0.169) |
6.0 (0.236) |
722.8 (28.457) |
วันที่มีฝนตกโดยเฉลี่ย | 1.9 | 1.7 | 1.7 | 1.3 | 2.3 | 4.7 | 13.8 | 14.9 | 7.7 | 1.5 | 0.8 | 1.0 | 53.3 |
แหล่งที่มา: World Meteorological Organization.[14] |
ประชากร
แก้จากการสำรวจประชากรใน ค.ศ. 2011 นครอาครามีประชากร 1,585,704 คน โดยในเขตมหานครมีประชากรทั้งสิ้น 1,775,134 คน สัดส่วนเพศของนครอาคราระหว่างหญิงและชายอยู่ที่ 875 ต่อ 1,000 คน ส่วนสัดส่วนเพศของเด้กอยู่ที่เด็กหญิง 857 คนต่อเด็กชาย 1,000 คน ประชากรในอาครามีอัตราการรู้หนังสือเฉลี่ยร้อยละ 73.11 ซึ่งแบ่งเป็นชายและหญิงที่ร้อยละ 77.81 และ 67.74 ตามลำดับ[15]
ศาสนาฮินดูเป็นศาสนาที่มีผู้นับถือมากที่สุดในนครอาครา โดยมีผู้นับถือร้อยละ 80.68 รองลงมาคือศาสนาอิสลามที่ร้อยละ 15.37 รองลงมาอีกคือเชน, ซิกข์, คริสต์ และพุทธ ที่ร้อยละ 1.04, 0.62, 0.42 และ 0.19 ตามลำดับ ส่วนประมาณร้อยละ 1.66 ระบุว่า 'ไม่มีศาสนาจำเพาะ'[15]
ประวัติ
แก้ถึงแม้ประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่ของอาครานั้นมักจะถูกรับรู้ว่ามีความเกี่ยวพันกับจักรวรรดิโมกุล แต่แท้จริงแล้วเมืองอาครานั้นเริ่มเกิดขึ้นก่อนหน้านั้น โดยมีความเกี่ยวโยงกับประวัติศาสตร์อินเดียสมัยมหาภารตะ ใน ค.ศ. 1000
เป็นที่ยอมรับกันว่า "สิกันดร โลดิ" สุลต่านแห่งเดลีนั้นเป็นผู้ก่อตั้งอาคราขึ้นใน ค.ศ. 1504 หลังจากสิ้นพระชนม์แล้วจึงสืบทอดไปยังพระโอรส "อิบราฮิม โลดี" ซึ่งปกครองสุลต่านเดลีที่อาคราจนกระทั่งพ่ายสงครามให้กับจักรพรรดิบาบูร์ (Bābar) ในยุทธการแห่งปณิปัต (Battle of Panipat) ใน ค.ศ. 1526
ต่อมาใน ค.ศ. 1556 กษัตริย์นักรบแห่งชาติฮินดู "เจ้าเหมจันทร์วิกรมทิตย์" (Hem Chandra Vikramaditya) ได้เอาชนะสุลต่านและจอมทัพของแคว้นอาครา สุลต่านเอดิลชาห์สุรี (Adil Shah Suri) สุลต่านองค์สุดท้ายของราชวงศ์สุรี (ชาวอัฟกัน) เนื่องจากผู้บัญชาการกองทัพของสมเด็จพระจักรพรรดิหุมายุน (Humayun) แห่งราชวงศ์โมกุล คือ "ทาร์ดี เบ็ก คาน" (Tardi Beg Khan) ได้ยอมล่าถอยทัพออกจากอาคราด้วยความเกรงกลัวในพระบรมราชานุภาพของเจ้าเหมจันทร์วิกรมทิตย์ ถอยทัพโดยปราศจากการต่อสู้ ซึ่งครั้งนี้ถือเป็นชัยชนะครั้งที่ 21 ของกองทัพฝั่งฮินดู ภายใต้การนำทัพของพระองค์ตั้งแต่ ค.ศ. 1554 จากนั้นได้เสด็จไปตีเมืองเดลี และมีพระราชพิธีบรมราชาภิเษกที่ป้อมปุรานา หิรา (Purana Qila) ในกรุงเดลี เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ค.ศ. 1556 และได้ฟื้นฟูอาณาจักรฮินดูขึ้นใหม่ปกครองแคว้นอินเดียตอนเหนือโดยราชวงศ์วิกรมทิตย์
ยุคทองของอาครานั้นเริ่มขึ้นในสมัยที่ปกครองโดยราชวงศ์โมกุล โดยรู้จักกันดีในสมัยนั้นว่า "อัคบาราบัด" และเป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิโมกุลภายใต้การปกครองของสมเด็จพระจักรพรรดิอักบัร สมเด็จพระจักรพรรดิชะฮันคีร์ และสมเด็จพระจักรพรรดิชาห์ชะฮัน และต่อมาสมเด็จพระจักรพรรดิชาห์ชะฮัน ทรงย้ายเมืองหลวงไปอยู่ที่ "ชาห์ชะฮันนาบัด" (Shahjahanabad) ใน ค.ศ. 1649
เนื่องจากที่อัคบาราบัดนี้เป็นเมืองที่สำคัญที่สุดในอินเดียภายใต้จักรวรรดิโมกุล จึงมีการสร้างสิ่งปลูกสร้างสำคัญมากมาย สมเด็จพระจักรพรรดิบาบูร์ ผู้สถาปนาราชวงศ์โมกุล ได้วางแบบแผนสวนแบบเปอร์เซียในบริเวณริมฝั่งของแม่น้ำยมุนา สวนนี้มีชื่อว่า "อารัม บักห์" (Arām Bāgh) แปลว่า สวนแห่งความผ่อนคลาย พระราชนัดดาของพระองค์ ซึ่งต่อมาคือ สมเด็จพระจักรพรรดิอักบัร ได้สร้างป้อมปราการสีแดงขึ้นมา นอกจากนั้นยังทำให้อาคราเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ ศิลปะ การค้า และศาสนา ในรัชสมัยของพระองค์ยังมีการสร้างเมืองแห่งใหม่บริเวณปริมณฑลของอาคราที่มีชื่อว่า "ฟาเตห์ปูร์ สิครี" ซึ่งสร้างในรูปแบบของป้อมค่ายทหารซึ่งสร้างจากหิน
พระโอรสของพระองค์ ซึ่งต่อมาคือ สมเด็จพระจักรพรรดิชะฮันคีร์ ทรงเป็นผู้โปรดปรานสวน พืชพันธุ์ และต้นไม้ต่าง ๆ จึงพบการเพิ่มเติมบริเวณสวนภายในป้อมอาครา สมเด็จพระจักรพรรดิชาห์ชะฮัน จักรพรรดิองค์ถัดมา ทรงเป็นผู้โปรดปรานและมีพระปรีชาสามารถทางสถาปัตยกรรมอย่างยิ่ง ซึ่งได้มอบมรดกชิ้นสำคัญของอาครา คือ ทัชมาฮาล ที่สร้างขึ้นจากความรักและความทรงจำของพระมเหสีของพระองค์ ซึ่งสร้างเสร็จสมบูรณ์ใน ค.ศ. 1653
สมเด็จพระจักรพรรดิชาห์ชะฮัน ภายหลังนั้นได้ย้ายเมืองหลวงกลับไปที่กรุงเดลี แต่พระโอรสของพระองค์ ออรังเซพ ได้ย้ายกลับไปที่อัคบาราบัด โดยจับคุมตัวองค์จักรพรรดิไว้ในป้อมจนสวรรคต ซึ่งอัคบาราบัดก็ยังเป็นเมืองหลวงในขณะนั้นจนสมเด็จพระจักรพรรดิออรังเซพ ได้ย้ายเมืองหลวงไปที่ "ออรังกาบัด" (Aurangabad) ในเดคคาน เมื่อ ค.ศ. 1653 จากนั้นต่อมาเป็นยุคปลายของจักรวรรดิโมกุล เมืองจึงได้ตกอยู่ในอิทธิพลของชาวมราฐา และถูกเรียกชื่อใหม่ว่า "อาครา" ก่อนที่จะตกเป็นอาณานิคมของจักรวรรดิอังกฤษ หรือบริติชราช
การคมนาคม
แก้ทางอากาศ
แก้สนามบินกองทัพอากาศอาครา (หรืออีกชื่อคือท่าอากาศยานบัณฑิต ดีน ดายาล อุปทัยยา) ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองเป็นระยะทาง 12.5 km (8 mi) ซึ่งถือเป็นสนามบินสังกัดกองทัพอากาศ จึงยังไม่มีสายการบินพาณิชย์เข้าใช้ ตั้งแต่เดือนธันวาคม ค.ศ. 2012 เมืองพาราณสีได้มีสนามบินที่เริ่มให้บริการการบินเชิงพาณิชย์ระหว่างเมือง
ทางรถไฟ
แก้อาครานั้นตั้งอยู่ตรงกลางเส้นทางรถไฟสายภาคกลางที่เชื่อมระหว่างเดลี (รหัสสถานี: NDLS) และมุมไบ (บอมเบย์) (รหัสสถานี: CSTM) และระหว่างเดลี กับเจนไน (รหัสสถานี: MAS) และนอกจากนั้นยังมีรถไฟสายอื่น ๆ เช่น Bhopal Shatabdi, Bhopal Express, Malwa Express, Gondwana Express, Jabalpur - Jammutawi Express, Shreedham Express, Garib Rath, Tamil Nadu Express, Chennai Rajdhni, Punjab Mail ฯลฯ ที่เชื่อมอาคราเข้ากับเมืองสำคัญอื่น ๆ ของประเทศอินเดีย เช่น นิวเดลี มุมไบ โกลกาตา เจนไน ไฮเดอราบัด บังกาลอร์ ปูเน ลัคเนา ชัยปุระ ฯลฯ ได้ในทุก ๆ วัน รถไฟสายตะวันออกบางสายจากเดลีนั้นยังเชื่อมต่อผ่านอาครา จึงสามารถใช้เป็นจุดต่อรถเพื่อไปต่อยังเมืองต่าง ๆ ทางฟากตะวันออกของอินเดียได้ (เช่น โกลกาตา เป็นต้น) ซึ่งในทุก ๆ วันจะมีรถไฟมุ่งหน้าสู่เดลีถึงวันละ 20 เที่ยว เมืองอาครามีสถานีรถไฟสำคัญทั้งหมด 3 สถานีหลัก:
- สถานีรถไฟอาครา คันท์ (Agra Cantt) (รหัสสถานี: AGC) เป็นสถานีหลักที่สำคัญที่สุดในอาครา ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของทัชมาฮาล และป้อมอาครา ซึ่งสามารถเดินทางมาได้จากสถานที่ดังกล่าวเป็นระยะทางสั้น ๆ เท่านั้น
- สถานีรถไฟป้อมอาครา (Agra Fort Railway Station) (รหัสสถานี: AF) ตั้งอยู่ใกล้ ๆ บริเวณป้อมอาครา แต่มักจะไม่ได้ใช้สำหรับรถไฟสายระหว่างเมือง สถานีแห่งนี้จัดเป็นสถานีรถไฟที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศ ใช้สำหรับรถไฟสายตะวันออก (เช่น กานปุระ โคราฆปุระ โกลกาตา เป็นต้น) และสายภาคกลาง (เช่น นักดา โกตา) บางสายนั้นอาจจะหยุดที่สถานีสถานีรถไฟอาครา คันท์
- สถานีรถไฟราชาคิมันดิ (Raja Ki Mandi) (รหัสสถานี: RKM) เป็นสถานีรถไฟขนาดเล็ก รถไฟบางสายนั้นอาจจะหยุดที่สถานีสถานีรถไฟอาครา คันท์
นอกจากนี้ ยังมีรถไฟท่องเที่ยวที่มีความหรูหราเป็นพิเศษ ได้แก่ รถไฟเดอะพาเลซ ออน วีลส์ (The Palace on Wheels) และ เดอะ รอยัล ราชสถาน ออน วีลส์ (The Royal Rajasthan on Wheels) ซึ่งยังผ่านและหยุดที่อาคราในระหว่างทริปที่มีความยาวถึงแปดวัน (ไป-กลับ) ระหว่างราชสถานกับอาครา
แท็กซี่
แก้นักท่องเที่ยวสามารถใช้บริการแท็กซี่ได้ตามสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ ๆ ของเมือง โดยสามารถเรียกจากป้ายแท็กซี่ นอกจากนี้ยังมีแท็กซี่แบบจ่ายล่วงหน้า ซึ่งให้บริการจากสถานีรถไฟอาครา (Agra Cantt railway station)
สถานที่น่าสนใจ
แก้ทัชมาฮาล
แก้ทัชมาฮาล นั้นถือเป็นหนึ่งในสิ่งปลูกสร้างที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก เป็นอนุสรณ์สถานแห่งความรักของสมเด็จพระจักรพรรดิชาห์ชะฮันที่มีแก่พระมเหสีของพระองค์ คือ พระนางมุมตาซ มหัล ถือเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก และหนึ่งในโบราณสถานที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก จากทั้งสามแห่งในเมืองอาครา
สร้างเสร็จใน ค.ศ. 1653 โดยสมเด็จพระจักรพรรดิชาห์ชะฮันแห่งราชวงศ์โมกุล เพื่อเป็นที่พักพิงหลังสุดท้ายของพระมเหสีของพระองค์ สร้างจากหินอ่อนสีขาว จึงถือได้ว่าเป็นหนึ่งในอนุสรณ์สถานที่สวยงามและมีเสน่ห์ที่สุดในประเทศอินเดีย โดยก่อสร้างได้อย่างสมมาตร ซึ่งกินเวลาถึง 22 ปี (ค.ศ. 1630–1652) ด้วยแรงงานกว่า 20,000 คน เพื่อสร้างสรรค์สถานที่แห่งนี้ท่ามกลางภูมิทัศน์ที่ถูกรังสรรค์อย่างสวยงาม โดยสถาปนิกชาวเปอร์เซีย อุซถัด อิซา (Ustād 'Īsā) บนริมแม่น้ำยมนา ซึ่งสามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าจากบริเวณป้อมอาครา ที่ซึ่งสมเด็จพระจักรพรรดิชาห์ชะฮันทรงใช้เวลา 8 ปีสุดท้ายของพระชนม์ชีพเฝ้ามองทัชมาฮาล จากการถูกกักขังโดยพระโอรสของพระองค์เอง
ทัชมาฮาลนี้ยังถือเป็นผลงานชิ้นเอกแห่งความสมมาตร และยังมีประโยคจากคัมภีร์อัลกุรอานสลักอยู่โดยรอบ และบริเวณยอดของประตู ประกอบด้วยโดมขนาดเล็กถึง 22 แห่ง ซึ่งแสดงถึงจำนวนปีที่ใช้สร้างอนุสรณ์สถานแห่งนี้ บริเวณฐานของอาคารหลักเป็นหินอ่อนสีขาว ซึ่งซ้อนอยู่บนหินทรายซึ่งเป็นฐานชั้นล่างสุด โดมหลังที่ใหญ่ที่สุดวัดเส้นผ่านศูนย์กลางได้ถึง 60 ฟุต (18 เมตร) ซึ่งภายใต้นั้นเป็นบริเวณที่ฝังพระศพของพระนางมุมตาซ มหัล ซึ่งต่อมาได้มีการสร้างหลุมพระศพของสมเด็จพระจักรพรรดิชาห์ชะฮันเคียงข้างกัน โดยสมเด็จพระจักพรรดิออรังเซ็บ (Aurangzeb) ซึ่งเป็นบุตรของพระองค์ ภายในอาคารนั้นตกแต่งด้วยงานฝีมืออันวิจิตรฝังอัญมณีต่าง ๆ
ป้อมอาครา
แก้
ป้อมอาครา (บางครั้งเรียก ป้อมแดง) สร้างโดยสมเด็จพระจักรพรรดิอัคบาร์ (Akbar) แห่งราชวงศ์โมกุลใน ค.ศ. 1565 และเป็นอีกสถานที่หนึ่งซึ่งถูกขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกของอาครา หลักศิลาจารึกที่พบบริเวณประตูทางเข้าระบุว่าป้อมแห่งนี้ถูกสร้างก่อน ค.ศ. 1000 และต่อมาได้ถูกบูรณะโดยสมเด็จพระจักรพรรดิอัคบาร์ ป้อมที่ทำจากหินทรายสีแดงแห่งนี้ต่อมาได้ถูกเปลี่ยนเป็นพระราชวังในรัชสมัยของสมเด็จพระจักรพรรดิชาห์ชะฮัน และถูกผสมผสานด้วยองค์ประกอบของหินอ่อนและการตกแต่งแบบฝังพลอย ที่เรียกว่า "ปิเอตรา ดูร่า" (pietra dura) อาคารหลัก ๆ ภายในป้อมอาครา ได้แก่ มัสยิดไข่มุก (Moti Masjid) ท้องพระโรง (Dīwān-e-'Ām and Dīwān-e-Khās) พระราชวังพระเจ้าชะฮันคีร์ (Jahangir Palace) ตำหนักมูซัมมัน เบิร์จ (Musamman Burj) เป็นต้น
โครงสร้างภายนอกเป็นป้อมปราการอันหนาแน่น ซึ่งทำหน้าที่ปิดบังความงามดุจสวรรค์ที่อยู่ภายใน ป้อมปราการโดยรอบนั้นถูกสร้างในรูปเสี้ยวพระจันทร์ และแบนเรียบขึ้นทางฝั่งทิศตะวันออกซึ่งเป็นกำแพงตรงและยาวขนาบแม่น้ำ มีความยาวเป็นระยะทางรวมทั้งสิ้นถึง 2.4 กิโลเมตร (1.5 ไมล์) และมีกำแพงขนาดใหญ่ซ้อนถึงสองชั้น และมีมุขป้อมยื่นออกมาเป็นระยะ ๆ ตลอดความยาว และมีคูเมืองขนาดความกว้าง 9 เมตร (30 ฟุต) และลึกถึง 10 เมตร (33 ฟุต) ล้อมรอบกำแพงชั้นนอกอีกชั้นหนึ่ง
สมเด็จพระจักรพรรดิศิวจี (Shīvajī) แห่งจักรวรรดิมราฐา (Maratha Empire) เคยเสด็จมาภายในป้อมแห่งนี้ที่อาคารท้องพระโรง (Dīwān-i-Khās) เพื่อลงพระนามในสนธิสัญญาปูรันดาร์ (Treaty of Purandar) กับสมเด็จพระจักรพรรดิออรังเซ็บ โดยการคุมตัวของราชบุตรใจสิงห์ (Jai Singh I) ผู้เป็นแม่ทัพของจักรวรรดิโมกุล ซึ่งในการเข้าเฝ้าครั้งนั้นพระองค์ถูกจัดที่ประทับบริเวณด้านหลังของผู้มีบรรดาศักดิ์ที่ต่ำกว่า จึงกริ้วอย่างมากเนื่องจากถูกลบหลู่หมิ่นพระเกียรติ และถูกราชบุตรใจสิงห์ (Jai Singh I) จับกุมและคุมขังไว้ที่นั่นเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม ค.ศ. 1666 และต่อมาทรงหลบหนีได้สำเร็จเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม ค.ศ. 1666 เนื่องจากเกรงว่าจะถูกประหารโดยสมเด็จพระจักรพรรดิออรังเซ็บ เหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้มีการสร้างอนุสาวรีย์สมเด็จพระจักรพรรดิศิวจี ด้านนอกของป้อมอาครา เพื่อแสดงถึงความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญของพระองค์
ป้อมปราการแห่งนี้จัดเป็นผลงานตัวอย่างของสถาปัตยกรรมโมกุล ซึ่งเป็นแบบอย่างของป้อมปราการของอินเดียตอนเหนือ ซึ่งแตกต่างจากของอินเดียตอนใต้ ซึ่งมักจะสร้างยื่นลงไปในทะเล หรือหน้าผาริมน้ำ อาทิเช่น ป้อมปราการแห่งเบกาล ในรัฐเกรละ[16]
ฟาเตห์ปูร์ สิครี
แก้สมเด็จพระจักรพรรดิอัคบาร์ ได้ทรงมีพระบัญชาให้สร้างฟาเตห์ปูร์ สิครี (Fatehpūr Sikrī) ซึ่งตั้งอยู่ห่างเมืองอาคราเป็นระยะทาง 35 km (22 mi) และต่อมาได้ย้ายเมืองหลวงไปอยู่ที่นั่น (ในระหว่าง ค.ศ. 1571 ถึง 1585) ในที่สุดก็ได้ทิ้งร้างลงกลับมาที่อาคราอีกหนหนึ่ง ฟาเตห์ปูร์ สิครีจึงประกอบด้วยอาคารที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์มากมาย ซึ่งได้ถูกขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก โดยองค์การยูเนสโก
ชื่อของสถานที่แห่งนี้ถูกตั้งขึ้นภายหลังที่จักรพรรดิบาบูร์ (Bābar) แห่งจักวรรดิโมกุลได้มีชัยชนะต่อราชบุตรราณสังฆ์ (Rana Sanga) ในสถานที่ที่เรียกว่า "สิครี" (Sikrī) ซึ่งห่างจากอาคราประมาณ 40 km (25 mi) ซึ่งต่อมาสมเด็จพระจักรพรรดิอัคบาร์ ซึ่งเป็นพระนัดดาของจักรพรรดิบาบูร์ (Bābar) มีพระประสงค์จะสร้างที่แห่งนี้เป็นที่ประทับหลักของพระองค์ จึงได้มีการล้อมรอบด้วยปราการขนาดใหญ่ แต่เนื่องจากปัญหาการขาดแคลนน้ำอย่างหนัก พระองค์จึงต้องย้ายกลับสูนครอาครา ที่ป้อมอาคราอีกครั้งหนึ่ง
บูลันด์ ดาร์วาซา (Buland Darwāza) คือ ประตูเมืองที่สร้างโดยพระบัญชาของสมเด็จพระจักรพรรดิอัคบาร์ ใน ค.ศ. 1601 ที่ฟาเตห์ปูร์ สิครี เป็นประตูชัยแก่ชัยชนะของพระองค์ต่ออาณาจักรคุชราต ประกอบด้วยขั้นบันไดทั้งหมด 52 ขั้น สูง 53.63 เมตร และกว้าง 35 เมตร สร้างจากหินทรายสีแดง ตกแต่งด้วยงานสลักหินอ่อนสลับสีขาวดำ บริเวณทางเข้าหลักพบหลักศิลาจารึกแสดงให้เห็นถึง"ความใจกว้าง"ของการนับถือศาสนาของพระองค์ ว่าเป็นสาสน์จากพระเยซูถึงสาวกของพระองค์ไม่ให้ยึดติดกับโลกเสมือนบ้านอย่างถาวร
อิตมัด-อุด-โดละห์
แก้พระจักรพรรดินีนูร์ ชะฮัน (Nūr Jahān) สร้างอนุสรณ์สถานอิตมัด-อุด-โดละห์ (Itmad-Ud-Daulah's Tomb) เป็นหลุมฝังศพให้แก่พระบิดาของพระองค์ นามว่า "มีร์ซา กียาซ เบค" (Mirza Ghiyas Beg) ซึ่งเป็นมนตรีระดับสูงคนสำคัญของสมเด็จพระจักรพรรดิชะฮันคีร์ ในปัจจุบันเรียกสถานที่แห่งนี้ว่า "เบบี้ ทัช" (Baby Taj) ตั้งอยู่ริมฝั่งด้านซ้ายมือของแม่น้ำยมุนา ตัวอาคารตั้งอยู่ในสวนขนาดใหญ่เป็นรูปกางเขน สลับด้วยทางน้ำไหล และทางเดินต่าง ๆ ตัวอาคารหลักนั้นมีขนาด 23 ตารางเมตร และสร้างบนฐานกว้างขนาดประมาณ 50 ตารางเมตร สูงประมาณ 1 เมตร แต่ละมุมเป็นที่ตั้งของหอคอยทรงหกเหลี่ยมสูงประมาณ 13 เมตร เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับหลุมฝังศพ และหลุมฝังพระศพในยุคสมัยจักรวรรดิโมกุลนั้นจะถือว่ามีขนาดเล็ก จึงมักถูกเรียกว่าเป็นดั่ง "กล่องอัญมณี" นอกจากนี้ยังพบการจัดสวน การใช้หินอ่อนสีขาว การตกแต่งอินเลย์หินอ่อน (ปิเอตรา ดูร่า) ฯลฯ เป็นตัวอย่างสำคัญของการก่อสร้างทัชมาฮาล ในภายหลัง
กำแพงนั้นทำจากหินอ่อนสีขาวจากราชสถาน และตกแต่งด้วยอัญมณีหลากสีประเภทต่าง ๆ เช่น แจสเปอร์ คาร์เนเลียน โอนิกซ์ โทปาซ และลาพิส ลาซูไล เป็นรูปของต้นสนตระกูลไซเปรส และขวดไวน์ รวมทั้งยังตกแต่งเป็นองค์ประกอบที่ซับซ้อนเพิ่มขึ้น เช่น รูปผลไม้ที่ตัดแต่ง หรือแจกันพร้อมช่อดอกไม้ ในเวลาที่แดดส่องแสงผ่านด้านในของตัวอาคาร จะผ่านช่องแสงเรียกว่า จาลี (Jālī) ที่สลักเสาจากหินอ่อนสีขาว
พระญาติหลาย ๆ คนของพระจักรพรรดินีนูร์ ชะฮัน (Nūr Jahān) ก็ยังถูกฝังที่อนุสรณ์สถานแห่งนี้ องค์ประกอบอย่างเดียวที่ไม่สมมาตรในสถานที่แห่งนี้มีเพียงแค่หลุมฝังศพของพระบิดาและพระมารดาของพระองค์ ซึ่งตั้งอยู่ข้าง ๆ กัน แต่ขนาดไม่เท่ากัน ซึ่งก็คล้ายกับการวางหลุมพระศพที่ทัชมาฮาล
หลุมฝังพระศพอักบัรมหาราช ที่เมืองสิกันทรา
แก้เมืองสิกันทรา (Sikandra) ซึ่งเป็นที่ตั้งของหลุมฝังพระศพสมเด็จพระจักรพรรดิอัคบาร์มหาราช (อักบัรมหาราช) แห่งราชวงศ์โมกุล ตั้งอยู่ระหว่างทางบนทางหลวงสายเดลี-อาครา เพียง 13 กิโลเมตรจากป้อมอาครา การออกแบบหลุมฝังพระศพแห่งนี้นั้นสะท้อนให้เห็นถึงบุคลิกของพระองค์อย่างครบถ้วน สร้างบนบริเวณกว้างขวางท่ามกลางสวนอันร่มรื่น ภายในอาคารอันสวยงามมีหลุมฝังพระศพสร้างจากหินทรายสีเหลือง-แดงที่สลักอย่างวิจิตรพิศดาร ตกแต่งเป็นลายรูปกวาง กระต่าย ค่างหนุมาน โดยว่ากันว่าพระองค์เป็นผู้เลือกสถานที่ตั้งหลุมพระศพของพระองค์เอง โดยถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติทางศาสนาของชาวโมกุลที่จะต้องสร้างหลุมฝังศพของตนโดยนำธรรมเนียมมาจากกลุ่มชนเตอร์กิก สมเด็จพระจักรพรรดิชะฮันคีร์ พระโอรสของพระองค์ได้เป็นผู้สานต่องานก่อสร้างจนสำเร็จใน ค.ศ. 1613 บนโลงหินนั้นยังสลักชื่อ 99 ชื่อของอัลลอฮ์
อ้างอิง
แก้- ↑ "Metropolitan Cities of India" (PDF). cpcb.nic.in. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 23 September 2015. สืบค้นเมื่อ 22 December 2020.
- ↑ "District census handbook (Part A & B) – Agra" (PDF). Directorate Of Census Operations, Uttar Pradesh. 2001. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 13 April 2021.
- ↑ "Agra Municipal Corporation::". www.nagarnigamagra.com. สืบค้นเมื่อ 7 September 2020.
- ↑ Lavania, Deepak (2 December 2017). "BJP wins post of Agra mayor for fifth consecutive time". The Times of India. The Times Group. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 23 October 2018. สืบค้นเมื่อ 27 May 2018.
- ↑ "Agra Nagar Nigam" (PDF). nagarnigamagra.com. สืบค้นเมื่อ 21 November 2020.
- ↑ "Elevation of Agra - Wolfram|Alpha". www.wolframalpha.com. สืบค้นเมื่อ 26 September 2020.
- ↑ "Census 2011". The Registrar General & Census Commissioner, India. สืบค้นเมื่อ 21 May 2016.
- ↑ "Uttar Pradesh (India): State, Major Agglomerations & Cities – Population Statistics, Maps, Charts, Weather and Web Information". citypopulation.de. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 November 2017. สืบค้นเมื่อ 11 November 2017.
- ↑ 9.0 9.1 "52nd Report of the Commissioner for Linguistic Minorities in India" (PDF). nclm.nic.in. Ministry of Minority Affairs. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 25 May 2017. สืบค้นเมื่อ 7 December 2018.
- ↑ "District Domestic Product Estimates Uttar Pradesh Year 2019-20" (PDF). Directorate of Economics And Statistics Government Of Uttar Pradesh. สืบค้นเมื่อ 6 November 2021.
- ↑ "Cities in India with population more than 100,000". Census2011. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 7 April 2013. สืบค้นเมื่อ 10 June 2016.
- ↑ Williams, Monier. "Sanskrit-English Dictionary". Cologne Digital Sanskrit Dictionaries. Cologne University. สืบค้นเมื่อ 2009-11-08.
- ↑ "Agra Fort". Archaeological Survey of India. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-12-03. สืบค้นเมื่อ 2009-11-08.
- ↑ World Weather Information Service-Agra เก็บถาวร 2014-01-09 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, World Meteorological Organization. Retrieved 30 September 2012.
- ↑ 15.0 15.1 15.2 http://www.census2011.co.in/census/city/115-agra.html เก็บถาวร 12 เมษายน 2016 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน Agra City Population Census 2011
- ↑ Koroth, Nandakumar. History of Bekal Fort.
บรรณานุกรม
แก้- Cole, Henry Hardy (1873). Illustrations of buildings near Muttra and Agra. India Office.
- Agra, Archaeological Society of (1874). Transactions of the Archaeological Society of Agra, Jan–June 1874. Delhi Gazette Press.
- Mukerji, Satya Chandra (1892). The Traveller's Guide to Agra. Sen & Co., Delhi.
- Fanthome, Frederic (1895). Reminiscences of Agra. Thacker, Spink & Co.
- Latif, Muḥammad (1896). Agra, Historical & Descriptive. Calcutta Central Press.
- Keene, Henry George (1899). A Handbook for Visitors to Agra and Its Neighbourhood (Sixth ed.). Thacker, Spink & Co.
- Smith, Edmund W. (1901). Moghul Colour Decoration of Agra, Part I. Govt. Press, Allahabad.
- Havell, Ernest Binfield (1904). A Handbook to Agra and the Taj, Sikandra, Fatehpur-Sikri, and the Neighbourhood. Longmans, Green & Co., London.
- Agranama: The authentic book about the history of Agra by Mr. Satish Chandra Chaturvedi
- Ashirbadi Lal Srivastava, History and Culture of Agra (Souvenir), 1956
แหล่งข้อมูลอื่น
แก้- Official website of Agra district
- อาครา ที่เว็บไซต์ Curlie
- University of Washington digital collections